JOSH HOTEL และแล้วอารีย์ก็มีโรงแรมเก๋ ราคาเฟรนด์ลี่
(คืนละ 1,500-3,500 บาท) สมฐานะย่านฮิปประจำกรุงเทพฯซะที มาเถอะพวกเรา มา #hop ไปเสพความดีงามของแหล่ง hangout ใหม่ล่าสุดในย่านอารีย์กัน JOSH HOTEL เป็นผลงานของ 3 หุ้นส่วนใหญ่ ซึ่งก็ต่างเป็นรุ่นเก๋าในสายงานตัวเอง เมื่อมาประกอบร่างกัน จึงได้เป็น Lifestyle Hotel ที่มี Vision มากกว่าแค่ทำกำไรเท่านั้น เพราะ JOSH HOTEL ตั้งใจจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชุมชนย่านอารีย์ให้น่าอยู่ และมีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนขึ้นอีกด้วย
ด้วย Passion ที่จะการสร้างเครือข่ายธุรกิจที่เกื้อหนุนกันระหว่างร้านรวงต่างๆในละแวกอารีย์ ทำให้ JOSH HOTEL ไม่มองธุรกิจเดียวกันว่าเป็นคู่แข่งที่ต้องกีดกันหรือห้ำหั่นกัน ลูกบ้าน (เราแอบปลื้มที่ตอนให้สัมภาษณ์ ทางโรงแรมเรียกแขกที่เข้าพักด้วยคำนี้) สามารถเรียก Therapist จาก Calm สปาสุดเก๋ข้างๆกันมานวดให้ที่สระน้ำก็ได้น้าาา
ชื่อ JOSH นั้นมีที่มาจากตัวย่อของคอนเส็ปต์ “Journey Of Someone Hotel” ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายที่เป็น “นักเดินทาง” มากกว่า “นักท่องเที่ยว” โลโก้รูปคนถือกระเป๋า นั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก Tintin ตัวการ์ตูนหนุ่มน้อยนักผจญภัยสัญชาติเบลเยี่ยม เพียงแต่หนุ่มในโลโก้ของ JOSH นั้นโตเป็นผู้ใหญ่ และได้เห็นโลกมาเยอะ จนก้าวข้ามความตื่นเต้นในแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ หรือแลนด์มาร์คสำคัญๆในกรุงเทพฯไปหมดแล้ว
ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องยกความดีความชอบให้กับย่านอารีย์เองที่ค่อยๆสะสมชื่อเสียงจากแต่เดิมนั้นเป็นเพียง “ทางผ่าน” ที่ชาวต่างชาติมาแวะพักเพื่อจะไปตลาดนัดจตุจักร หรือเตรียมเดินทางกลับบ้านจากสนามบินดอนเมือง จนวันนี้อารีย์ได้กลายมาเป็น “จุดหมายปลายทาง” ที่นักเดินทางสายสโลว์ไลฟ์ถวิลหา เพราะอารีย์เป็นย่านที่มีชีวิตชีวา มีความเป็น township อยู่ในตัวเอง เต็มไปด้วยร้านรวงอิสระที่ลูกค้าอย่างเราๆสามารถเดิน #hop ไปมาได้อย่างสะดวก ในส่วนกำลังซื้อก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าย่านสุขุมวิทเลย
ตั้งแต่แว่บแรกที่เราเห็นโรงแรม เราก็รู้ได้ทันทีว่าแนวทางอินทีเรียร์ต้องได้อิทธิพลมาจากผู้กำกับหนังสุดอาร์ทอย่าง Wes Anderson แหงๆ ทั้งจังหวะการใช้สี (ใช่ๆ เราปลื้มการตัดกันฉึบฉับอย่างถูกที่ถูกเวลาของสีชมพู เขียว ฟ้า ขาว และทองมากๆ) การวางเส้นสาย และการแบ่งสเปซที่ทำให้ดูทั้งย้อนยุคและล้ำสมัยไปพร้อมๆกัน ห้องพักทั้ง 71 ห้อง ถูกแบ่งเป็น 4 แบบ คือ Superior (เตียงคู่ 22 sq.m) Deluxe (ห้องมาตรฐาน 26 sq.m.) Family (นอนได้ 4 คน) และห้องที่พิเศษสุดซึ่งมีอยู่เพียงห้องเดียวก็คือ JOSH ที่มีพื้นที่ถึง 50 sq.m. พร้อมอ่างอาบน้ำในตัว แอบกระซิบนิดนึงว่าทางโรงแรม ไม่มีนโยบายเสริมเตียงนะ
นอกจากห้องพักแล้ว ทางโรงแรมยังมีร้านอาหารและร้านค้าที่กำลังจะเปิดให้บริการเร็วๆนี้ คือ Marigold ร้านอาหารตำรับสมุยที่หากินได้ยาก และ Fishes 101 ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เจาะจงใช้แต่วัตถุดิบที่ organically grown and naturally cooked และเราสามารถสืบย้อนดูถึงแหล่งที่มาเพื่อความสบายใจได้ทุกตัว เอาไว้เราจะพากลับมา #hop เพื่อเจาะลึกร้านอาหารกันอีกทีเนอะ
ในบริเวณเดียวกันยังมีร้านธีมซัมเมอร์ ที่เหมาะกับเมืองไทยมากๆ เพราะเอาเข้าจริงๆทั้งปีก็มีอยู่ฤดูเดียว ฮ่าๆๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านเสื้อผ้าแฟชั่น beachwear แสนเก๋ที่ชื่อ Sunbath and Pool Only และอีกร้านคือ Hello Summer ร้านไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟน่ารักๆ
ยังมีห้องกิจกรรมอื่นๆอีก ทั้ง Workshop Room ที่นอกจากจะใช้เป็นห้องประชุมได้แล้ว ยังสามารถใช้เป็นพื้นที่ลงมือสร้างสรรค์งานคราฟท์ต่างๆได้ทุกรูปแบบ รวมไปถึง Theatre Room ที่จะใช้จัดฉายหนังสารคดีที่น่าสนใจ หรืองานเสวนาหัวข้อต่างๆได้ เพราะทาง JOSH HOTEL นั้นอยากจะให้ลูกบ้านสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโรงแรมได้ทั้งวันไม่รู้เบื่อ
เต็มอิ่มกันไปแล้วสำหรับโรงแรมพระเอกหนุ่มนามว่า JOSH ของเราในวันนี้ ขอทิ้งท้ายกันด้วย Tagline ของโรงแรมที่ว่า “Waiting for the journey of someone like you” ก็แล้วกัน เพราะโลกนี้ยังมีที่อีกมากมายที่รอให้คุณออกไป #hop อยู่นะคร้าบบบ
ข้อมูลโรงแรมเพิ่มเติม: facebook.com/joshhotel2017
#JOSHHOTEL #Lethoparoundbangkok #รีวิวที่พักในกรุงเทพ #รีวิวที่พักกรุงเทพ #รีวิวที่พัก #รีวิวJoshHotel #รีวิวโรงแรม #HotelReview
Comments