top of page
รูปภาพนักเขียนhoparound.co

Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่

อัปเดตเมื่อ 22 ธ.ค. 2564


Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่

แม้ตอนนี้หน้าหนาวจะผ่านไปแล้ว แต่เชียงใหม่ก็ยังมีที่ให้เรา #กระโดดโลดเที่ยว กันได้อย่างอิ่มอกอิ่มใจได้ทั้งปี เอาล่ะ ชาว #hopsters ทั้งหลาย บัดนี้เราจะพาคุณมาเสพกาแฟไทยที่ดังไกลถึงยุโรป แกล้มเรื่องราวสุดยอดแรงบันดาลใจเบื้องหลังความสำเร็จที่ใช้ “ใจบันดาลแรง” ของเขากันที่ Akha Ama Living Factory อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ที่เพิ่งเปิดให้เข้าชมเมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมานี้เอง


เรื่องราวของ “อาข่า อามา” นั้นทั้งน่าทึ่งและน่าภูมิใจมากจริงๆ เริ่มตั้งแต่ที่มาของแบรนด์ที่เกิดขึ้นจากสำนึกรักบ้านเกิดของคุณลี (ชื่อจริงคือ “อายุ จือ ปา”) ชาวเขาเผ่าอาข่า และความมุ่งมั่นที่เขาอยากจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวอาข่าที่ปลูกกาแฟพันธุ์พระราชทานจากในหลวงร.9 กันมาหลายรุ่นเป็นเวลาเกือบ 50 ปี แต่ผลผลิตก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับเสียที โดยที่ตอนเริ่มต้นโปรเจ็คท์นี้เมื่อปี 2552 ความรู้เรื่องกาแฟของคุณลีแทบไม่มีเลยก็ว่าได้


การเดินทางของอาข่า อามา (คงพอจะเดากันได้ว่า ‘อามา’ แปลว่า ‘แม่’ และผู้หญิงในโลโก้ก็คือคุณแม่ของคุณลีนั่นเอง) เริ่มต้นด้วยความอยากรู้ว่าคุณภาพกาแฟที่ชาวอาข่าผลิตได้นั้นอยู่ในระดับไหน คุณลีและทีมจึงช่วยกันระดมสมองหาวิธีพิสูจน์ จนลงเอยด้วยการเปิดหน้าร้านกาแฟแถวช้างเผือก ในเมืองเชียงใหม่ให้ลูกค้าได้เข้ามาลิ้มลองในปี 2553

Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่

พร้อมกันนั้นก็ส่งตัวอย่างเมล็ดกาแฟออกไปให้นักชิมกาแฟไทย รวมถึงร้านกาแฟ และร้านอาหารในประเทศทดลองใช้ แต่ผลลัพธ์กลับน่าผิดหวัง เพราะคนไทยในสมัยนั้นยังมีอคติลบๆกับเมล็ดกาแฟของไทยอยู่มาก แค่เพียงได้ยินว่าเป็นกาแฟไทย ต่างก็ปฏิเสธกันแบบไม่ต้องคิดกันแทบทุกราย

เมื่อแสงแห่งความหวังในประเทศเริ่มริบหรี่ ประตูอีกบานที่ใหญ่กว่าก็ค่อยๆเปิดออก เพราะในปีเดียวกันนั้นเองทีมคุณลีก็ตัดสินใจส่งผลผลิตของตนไปยังเวทีคัดสรรในยุโรปที่ชื่อว่า SCAE (Specialty Coffee Association of Europe) หรือสมาคมกาแฟพิเศษแห่งยุโรป และถูกคัดเลือกให้เข้ารอบ 21 รายสุดท้ายจาก 2000 กว่ารายที่ส่งเข้ามาประกวดจากทั่วโลก

ขั้นตอนการคัดเลือกนั้นก็เข้มงวดสมกับมาตรฐานยุโรป ตั้งแต่การตรวจหาสารตกค้าง และประเมินความสมบูรณ์ของเมล็ดในห้อง Lab โดยละเอียด รวมไปถึงการทดสอบรสชาติแบบ Blind Test คือไม่เปิดเผยชื่อผู้ส่งเข้าประกวดให้กรรมการทราบเพื่อความยุติธรรม

Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่
Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่
Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่

แม้ผลลัพธ์จะน่าพอใจอย่างมาก แต่ทีมอาข่า อามาก็ยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น พวกเขาอยากจะยืนยันว่าคุณภาพของเขานั้นดีจริงๆไม่ใช่แค่ฟลุก จึงส่งไปที่เวทีเดิมซ้ำอีก 2 ครั้งในปี 2554 และ 2555 ผลก็คืออาข่า อามานั้นได้รับคัดเลือกทุกปี จนในปีต่อๆมาทางคณะกรรมการ SCAE นั้นก็ได้เชิญอาข่า อามา มาเป็นพาร์ทเนอร์ถาวรกับเวทีนี้โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือกอีกต่อไป

เมื่อเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ รสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟอาข่า อามาก็ออกฤทธิ์ทำให้คนไทยเริ่มตาสว่างขึ้นมาเห็นคุณค่ากาแฟไทยมากขึ้น ในปี 2556 อาข่า อามาจึงขยับขยายไปเปิดอีก 1 สาขาที่บริเวณคูเมืองใกล้วัดพระสิงห์ โดยเริ่มมีการติดตั้งเครื่องคั่วของตัวเองไว้ในร้านเป็นครั้งแรกอีกด้วย

ในระยะเวลา 3-4 ปีแรกนี้ที่พวกเขาได้ลองผิดลองถูก ค่อยๆสะสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับกาแฟเพิ่มเติมทีละเล็กละน้อยตั้งแต่การปลูก การคั่ว ไปจนถึงการชง ทำให้ทีมอาข่า อามามั่นใจว่าองค์ความรู้ที่ถูกต้องนี่เองที่จะช่วยเหลือเกษตรกรบ้านเกิดได้อย่างยั่งยืน

สำหรับ Akha Ama Living Factory บนพื้นที่กว่า 5 ไร่นี้ที่เราพามาเยี่ยมชมในวันนี้ ก็เป็นการตอกย้ำความสำคัญขององค์ความรู้ และการเกื้อหนุนกันและกันเพื่อความยั่งยืนซึ่งเป็นแก่นของแบรนด์



Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่
Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่
Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่
Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่
Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่

ที่แห่งนี้นับเป็นอีกก้าวที่กล้าหาญของอาข่า อามาโดยทางทีมใช้เวลาการเตรียมงานและซื้อที่ดินกันมาตั้งแต่ปี 2557 จนมาแล้วเสร็จเมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมานี้เอง ที่นี่เป็นมากกว่าร้านกาแฟเก๋ๆให้คนมาเช็คอินตามกระแส เพราะพวกเขาตั้งใจให้ Akha Ama Living Factory นี้เป็นบ้านที่เปิดเพื่อแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับกาแฟและอาหารที่ยั่งยืน โดยมีการสาธิตการคั่วกาแฟ (ในวันอาทิตย์ อังคาร และศุกร์) และเร็วๆนี้จะมี Workshop ให้ชิมกาแฟเพื่อแยกกลิ่นพื้นฐานที่อบอวลอยู่ในเมล็ดกาแฟอย่างถูกต้องตามหลักสากล นอกจากนี้ช่วงกลางปีก็จะเริ่มก่อสร้างโรงครัวซึ่งจะนำเสนอวิถีที่ยั่งยืนเกี่ยวกับอาหารอีกด้วย

ในวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา พวกเขาก็ได้เปิดให้ใช้พื้นที่บ้านหลังใหม่หลังนี้ เพื่อจัดงาน Good Seeds Good Food Festival ครั้งที่ 3 ซึ่งเน้นไปที่วิถีการเกษตรแบบออร์แกนิค การสร้างอาชีพทางการเกษตร และอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพาะปลูกได้ฟรีๆสำหรับ “กลุ่มคนไร้บ้าน” เพื่อเป็นรายได้ให้กับผู้ด้อยโอกาสอีกด้วย

Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่
 Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่
Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่

แม้ความสำเร็จของอาข่า อามา จะเดินทางมาได้ไกลจนถึงจุดนี้ พวกเขาก็ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะขยายร้านกาแฟในแบรนด์ตัวเองเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทางทีมคอนเฟิร์มว่าอาข่า อามายังคงชัดเจนในวิสัยทัศน์ที่ตั้งใจจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อเกษตรกรกับลูกค้า และใช้องค์ความรู้ที่ถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาอาชีพของเกษตรกรที่ปลูกกาแฟให้ดีขึ้นตามแนวทางที่ในหลวงร.9ได้ทรงริเริ่มไว้ให้เมื่อเกือบ 50 ปีก่อนให้ยั่งยืนต่อไป

ต้นไม้จะเติบโตยิ่งใหญ่ได้ ย่อมต้องมีรากที่ลงลึกแข็งแรง ต้นไม้ที่ชื่อ อาข่า อามา ต้นนี้ก็เช่นกัน ลูกค้าอย่างเราๆ ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าจะช่วยอุดหนุนเป็นน้ำ เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ต้นนี้เติบใหญ่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป ในวันนี้ชาว hopsters คงได้รับคาเฟอีนทางใจจากเรื่องราวของอาข่า อามาที่เราเลือกมานำเสนอไปเต็มที่แล้ว การช่วยๆกันแชร์เรื่องราวนี้ออกไปก็คงจะยิ่งทำให้ความตั้งใจดีๆส่งแรงกระเพื่อมออกไปในวงที่กว้างมากขึ้นเรื่อยๆนะครับ

www.akhaama.com

www.facebook.com/akhaamacoffee

FB/IG @hoparound.co


#รีวิวAkhaAmaLivingFactory #อาข่าอ่ามาลิฟวิ่งแฟคโตรี่ #ร้านกาแฟเชียงใหม่ #โรงคั่วกาแฟเชียงใหม่ #อาข่าอ่ามา #รีวิวAkhaAma #โรงคั่วกาแฟ #เที่ยวเชียงใหม่ #รีวิวเชียงใหม่ #เชียงใหม่ไปไหนดี

ดู 1,014 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page