top of page
รูปภาพนักเขียนhoparound.co

Melbourne เมลเบิร์นเพลินเกินเรื่อง

อัปเดตเมื่อ 22 ธ.ค. 2564


เที่ยวเมลเบิร์น เที่ยวออสเตรเลีย Hoparound.co Let's Hoparound เที่ยวต่างประเทศ คาเฟ่ในเมลเบิร์น
“เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก”  คือการจัดอันดับที่มักจะมีชื่อ  Melbourne ขึ้นอยู่ในตำแหน่งต้นๆ ติดต่อกันนับสิบปี

การันตีกันขนาดนี้ก็คงไม่น่าแปลกใจที่แต่ละปีจะมีคนย้ายเข้ามาอยู่ที่เมลเบิร์นกันถึง 129,000 คน และมีการคาดการณ์กันว่าภายในปี 2037 เมลเบิร์นจะกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลียแซงหน้า Sydney ไปในที่สุดแม้ว่าตัวอักษรและภาพถ่ายจะไม่สามารถเทียบได้กับประสบการณ์ของการได้ไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ ในช่วงที่ Covid-19 ยังระบาดแบบนี้ เราขออาสาพาเพื่อนๆไป #วาร์ปfromhome เที่ยวจริงผ่านจอกันไปพลางๆก่อนก็แล้วกันนะครับ

ส่วนตัวแล้ว เรามีความผูกพันกับเมลเบิร์นมายาวนาน เพราะเมื่อ 12 ปีก่อน เราเคยเป็นนักเรียนอยู่ที่นี่ จึงพอจะบอกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง (และความไม่เปลี่ยนแปลง) ผ่านการเดินทางของเวลาในเมืองแห่งตรอกซอกซอยและร้านกาแฟรสเยี่ยมแห่งนี้

ทั้งที่ตั้งอยู่ในรัฐ Victoria ซึ่งเป็นรัฐที่มีพื้นที่เล็กที่สุดบนออสเตรเลียแผ่นดินใหญ่เมลเบิร์นมีดีอะไร ทำไมคนถึงพากันย้ายมาอยู่ที่นี่ เรามาลอง #hop ไปสำรวจกันดีกว่า ว่าแรงดึงดูดของเมลเบิร์นมีอะไรบ้าง

CBD (Central Business District)

ย่านศูนย์กลางเมืองเมลเบิร์นเรียกกันย่อๆว่า CBD (Central Business District) ริมแม่น้ำ Yarra มีผังเมืองที่เป็นระเบียบเรียบง่าย มีถนนตัดกันเป็นตารางคล้ายๆนิวยอร์ค ที่นี่คือแหล่งธุรกิจที่เต็มไปด้วยอาคารสูง (แต่ก็ไม่เท่ากรุงเทพฯหรอกนะ) พลุกพล่านไปด้วยชาวออฟฟิศ นักท่องเที่ยว และนักเรียนต่างชาติโดยเฉพาะชาวเอเชียหัวดำอย่างเราๆที่แทบจะครองเมืองไปแล้ว

อาณาเขตของ CBD นั้นมีถนน 4 สายหลักล้อมไว้จนเป็นรูปสี่เหลี่ยม(เกือบ)เป๊ะเลย ถนนหลักทั้ง 4 ได้แก่ Spencer, LaTrobe, Spring และ Flinders การเดินทางใน CBD นั้นค่อนข้างสะดวก เพราะมีรถ Tram ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ Melbourne มีลักษณะคล้ายๆรถเมล์รางที่มีสายเคเบิ้ลหิ้วอยู่ด้านบน ใน CBD ขึ้นฟรีด้วยนะ เพราะเป็น Free Tram Zone จุดศูนย์รวมทั้งรถไฟและรถ Tram ที่ใหญ่ที่สุดก็คือ Flinders Street Station ที่ตัวอาคารก็เป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของ Mebourne ด้วย

Flinders Station

บริเวณที่มีผู้คนขวักไขว่กันมากที่สุดใน CBD ก็คือระหว่างถนน Elizabeth และ Swanston เพราะมีการกระจุกตัวของโรงแรมและห้างร้านต่างๆมากมาย ขายกันหลากหลายสินค้าทั้งแฟชั่น สกินแคร์ (Aesop ก็เป็นแบรนด์ที่เกิดในเมลเบิร์นนะ) เครื่องประดับ ไปจนถึงร้านอาหารแทบทุกสัญชาติ และคาเฟ่ต่างๆที่ล้วนแข่งกันเสิร์ฟกาแฟคุณภาพระดับโลก แถมยังเป็นที่ตั้งของ Landmark สำคัญๆ เช่น สถานีรถไฟหลักอย่าง Flinders Street Station และ Melbourne Central ไปจนถึงห้องสมุดของรัฐอย่าง State Library Victoria และจตุรัส Federation Square

State Library Victoria ใครๆมาก็อดใจไม่ไหวต้องหยิบกล้องมาถ่าย

เพราะสถาปัตยกรรมและเลย์เอ้าท์การใช้สอยพื้นที่นั้นสวยคลาสสิคเหลือเกิน

(photo by Pussadee)

หากคุณต้องการความ luxury ก็ขอให้พุ่งไปหาร้านบิ๊กเนมต่างๆได้ที่ถนน Collins Street หรือจะช็อปสบายๆในห้างก็ไปที่ Bourke Street ได้เลยแต่เอาเข้าจริงๆ เมลเบิร์นนั้นขึ้นชื่ออย่างมากในเรื่องของตรอกซอกซอยหรือ lane ต่างๆที่อัดแน่นไปด้วยร้าน local คิ้วท์ๆและงานกราฟฟิตี้อาร์ทสีสันสดใส อาคารหลายๆแห่งในเมืองก็ถูกออกแบบมาให้สามารถเดินทะลุเข้าห้างนั้นออกห้างนี้ไปมาหาสู่กันได้อย่างเพลิดเพลิน

Saturdays NYC

เสน่ห์สำคัญอีกอย่างของเมลเบิร์นก็คืออาหาร โดยเฉพาะอาหารเอเชียที่หากินได้ง่ายมาก แค่บนถนน Swanston สายเดียวก็เรียงรายกันตั้งแต่อาหารไทย เฝอเวียดนาม ไก่ทอดเกาหลี (SamSam) ชานมไข่มุกไต้หวัน ถ้ายังไม่จุใจก็จงเดินเข้าประตูสู่ China Town ตรงแยกที่ตัดกับ Little Bourke St. เราแนะนำร้านติ่มซำ (ที่นี่เรียกว่า Yumcha) ชื่อ Secret Kitchen ที่อร่อยจุใจไส้แน่นจนเกือบลืมร้านโปรดในฮ่องกงไปชั่วขณะ

Higher Ground ร้านบร้นช์ชื่อดังในเครือ Darling Group เจ้าของรางวัลมากมาย

ร้านตั้งอยู่ในโรงไฟฟ้าเก่าที่ตัวอาคารถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกด้านสถาปัตยกรรมของเมลเบิร์น

Supernormal เค้าเคลมว่าเป็นร้านอาหาร Modern Australian

แต่เรากลับรู้สึกว่ากลิ่นเอเชียนฟิวชั่นคลุ้งเลย หรือว่าออสเตรเลียยุคใหม่เอเชียจะครองเมือง?


ส่วนอาหารสายฝอ ก็ลองจิ้มเลือกร้านตามนี้ได้เลย Higher Ground (อาหารโมเดิร์นออสเตรเลียน) Supernormal (อาหารเอเชี่ยนฟิวชั่น) Movida (อาหารสเปน) Tipo00 และ Osteria Ilaria (อาหารอิตาเลียน) ยังมีร้านอีกเยอะมาก ลองไปเสิร์ชเพิ่มกันนะ เมื่อก่อนเราติดใจร้านพาสต้าเก่าแก่บ้านๆที่ชื่อ Pellegrinis Bar มากเลย แต่คราวนี้ไม่ได้ไปกิน เสียดายจัง

Humble Rays ร้านฝีมือเชฟคนไทยที่มีประสบการณ์และรางวัลด้านอาหารมามากมาย

โดยเฉพาะในเรื่องขนมหวานกลิ่นอายเอเชียผสมฝรั่ง

Dukes Coffee Roasters ร้านกาแฟเล็กๆแต่เป็นหนึ่งในร้านกาแฟที่คนท้องที่แนะนำมากที่สุด

Operator 25 บรั้นช์คาเฟ่ที่เปิดอยู่ในตึก Original Telephone Exchange Building

มาในคอนเส็ปต์ Operator ที่ช่วยต่อสายความอร่อยให้กับลูกค้า


วัฒนธรรมกาแฟของเมลเบิร์นนั้นเข้มแข็งและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก แม้แต่ Starbucks เองก็ยังเจาะตลาดเข้ามาแทบไม่ได้ และต้องถอยทัพไปปรับกลยุทธ์กันอยู่พักใหญ่ โดยต้องหันมาเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยว ฟิมากกว่าคนท้องที่ เพราะคนที่นี่เค้าไปร้าน Local กัน อย่างเช่น Dukes Coffee Roasters, Industry Beans, Market Lane Coffee, St. ALi, Humble Rays, Operator 25 เป็นต้น กาแฟดีแทบทุกร้านจริงๆ

The Hotel Windsor


โรงแรมหรูในตำนาน อายุ 137 ปีใจกลางเมลเบิร์น เก่าแก่กว่าโรงแรม Ritz ที่ปารีส หรือ โรงแรม Savoy ที่ลอนดอนซะอีก

Queen Victoria Market


สำหรับฟู้ดดี้ส์สายเดินตลาด ก็ไม่ควรพลาด Queen Victoria Market ที่อยู่ด้านเหนือของ CBD ที่นี่เป็นตลาดสดเก่าแก่ขนาดใหญ่ที่สุดในซีกโลกใต้ (รวมพื้นที่ประมาณ 43 ไร่) ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่นี่มีสินค้าครบครันตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ โดยเฉพาะอาหารสารพัดชนิดทั้งของสดและของแปรรูปที่เราสามารถซื้อกลับบ้านได้

Market Lane Coffee ร้านกาแฟเรียบเท่มีอยู่หลายสาขาทั่วเมลเบิร์น

Royal Botanic Gardens


อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เมลเบิร์นเป็นเมืองที่น่าอยู่มากๆก็คือการที่มีธรรมชาติอยู่ติดกันกับเมืองเลย ทั้งแม่น้ำ Yarra ที่สงบเยือกเย็นและสวน Royal Botanic Gardens ขนาดใหญ่เกือบ 240 ไร่ทางตอนใต้ของ CBD ที่มอบทั้งความงดงามและร่มเย็นให้กับชาวเมือง สวนแห่งนี้เป็นอีกจุดโปรดในการหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองของเรา (สมัยเรียนอยู่ที่นี่ เรามาวิ่งออกกำลังกายในสวนแทบทุกเย็น) สังเกตว่าคำว่า gardens นั้นเติม s ด้วยเพราะที่นี่มีสวนย่อยๆหลายแบบรวมกันอยู่หลายสวน ทั้งพืชพรรณท้องถิ่นและพันธุ์ไม้หายากจากทั่วโลกทั้งสิ้นกว่า 8,500 สายพันธุ์


 

Southbank & South Melbourne

ริมฝั่งแม่น้ำ Yarra ทางตอนใต้ของ CBD เป็นถิ่นเก่าบ้านเราเอง กลับมาคราวนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต่างไป แต่อีกหลายสิ่งก็ยังนิ่งอยู่เหมือนเดิม ตึกสูงต่างๆก็ยังคงแย่งกันเบียดขึ้นฟ้า การันตีความสูงกันด้วยตึกที่สูงที่สุดใน Australia อย่าง Eureka Skydeck ไปจนถึง Crown Casino ที่ยังคงยืนเด่นให้มงลงอยู่ริมแม่น้ำเสมอมา แม้ว่าตัวเจ้าของ James Packer จะผ่านความสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัวกับ Mariah Carey มานานแล้ว (เกี่ยวตรงไหนเนี่ย? 555)

ด้วยที่ตั้งที่อยู่ติดแม่น้ำ สามารถเดินข้ามสะพานไม่กี่ก้าวก็ถึง CBD แล้ว รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่เป็นหน้าเป็นตาของเมือง จึงทำให้ South Bank เป็นหนึ่งในย่านที่ทำเลราคาสูงมาก และแน่นอนว่าร้านอาหารและคาเฟ่หรูหราที่มาพร้อมกับวิวเมืองติดแม่น้ำแบบพาโนราม่าก็ไม่ใช่สิ่งขาดแคลนในย่านนี้เช่นกัน

National Gallery of Victoria

นอกจากนี้ South Bank ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมหลายๆอย่างของเมลเบิร์นไล่ตั้งแต่ พิพิธภัณฑ์หลักของเมืองอย่าง National Gallery of Victoria, Australian Centre for Contemporary Art, แกลอรี่ อาร์ทสเปซ โรงละคร มหรสพ และสถาบันเกี่ยวกับดนตรีและการเต้นรำก็ต่างกระจุกตัวกันอยู่ในย่านนี้ ว่าแล้วก็เสียดาย ถ้าหากวันนั้นเรามีเงินซื้ออพาร์ทเม้นท์เก่าเอาไว้ ป่านนี้มูลค่าคงพุ่งสูงไม่แพ้ตึก Eureka เลยล่ะ

Australian Centre for Contemporary Art Location: https://goo.gl/maps/dhCRjVSFbW7SrCCR8


ส่วน South Melbourne ที่อยู่ถัดออกมา กลับมีบรรยากาศที่ต่างไป ตัวอาคารไม่ได้สูงเสียดฟ้า แต่แผ่กว้างมากขึ้น มีต้นไม้มากขึ้น แถมทิศใต้ก็อยู่ติดกับ Albert Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่อีกอัน ย่านนี้มีร้านอาหารและคาเฟ่ดังๆอยู่หลายร้าน ไม่ว่าจะเป็น The Kettle Black, St.Ali, Market Lane Coffee, Chez Dre ฯลฯ หากใครรู้จักแบรนด์แก้วเครื่องดื่มเก็บความร้อนแบบพกพาที่ชื่อว่า Frank Green ที่เริ่มโด่งดังไปไกลทั่วโลก ด้วยจุดเด่นที่กดปุ่มตรงกลางปุ๊บก็สามารถยกดื่มได้เลย ไม่ต้องหมุนฝาออกเหมือนแก้วทั่วๆไป นางก็มี HQ อยู่ที่ South Melbourne นี่เช่นเดียวกัน ช่วงที่เราไปนางมีเซลใหญ่ คนต่อแถวกันอ้อมจักรวาลกันเลยทีเดียว


Market Lane Coffee - South Melbourne สาขานี้เดินข้ามถนนจากตลาด South Melbourne Market ก็ถึงเลย

Location: https://goo.gl/maps/aJRzeEyyTCPDkwLy8

ร้านค้าต่างๆใน South Melbourne Market


สถานที่ที่น่าจะเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สุดใน South Melbourne ก็คงหนีไม่พ้น South Melbourne Market ตลาดที่เต็มไปด้วยร้านค้าอาหารและสิ่งของต่างๆมากมายหลากหลายแนว ตอนแรกเราหลงไปในโซนที่ไม่ค่อยถูกจริตเราเท่าไหร่ ก็แอบผิดหวังเล็กน้อย แต่พอเจอโซนที่ใช่แล้วก็เดินเพลินจนลืมเวลาเลย เผลอซื้อของจุกจิกจนลืมโควต้าน้ำหนักกระเป๋าซะงั้น แหะๆ


 

St.Kilda & Brighton

ลงใต้มาอีกนิด เราก็จะพบกับย่านติดทะเล 2 แห่ง แม้จะไม่ได้อยู่ติดกันซะทีเดียว แต่ St.Kilda และ Brighton ก็อยู่ทางเดียวกัน เราเลยขอจับมาคู่กันไปเลย

St. Kilda นั้นอยู่ใกล้ CBD มากกว่า ที่นี่เป็นอีกย่านฮิปฟีลคล้ายๆ Santa Monica ใน LA แต่เงียบกว่า สวนสนุก Luna Park แบบในซิดนีย์ก็มีอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ความฮิปที่นี่ต่างจากที่ Fitzroy เพราะมีความ subtle ไม่เอะอะมาก และร้านต่างๆกระจายตัวกันอยู่ ต้องซ่อกแซ่กกันพอสมควรถึงจะหาเจอ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านประจำของชาว local ที่รู้แหล่ง บังเอิญวันเราไปเป็นวันธรรมดาและใกล้ค่ำแล้ว ส่วนใหญ่ก็เลยปิดกันหมด อดเก็บบรรยากาศมาฝากเลย T_T

แต่ที่เราแวะไปก็คือ Hotel Esplanade โรงแรมเก่าแก่อายุกว่า 140 ปีที่เพิ่งถูก revamp และเปิดใหม่อีกครั้งในปี 2018 กลายเป็น Talk of the town อยู่พักใหญ่ในเมลเบิร์น กลับมาคราวนี้ Espy (ชื่อเล่นของ The Esplanade) โฉมใหม่ไม่ได้เป็นโรงแรม แต่เป็นคอมเพล็กซ์ร้านอาหาร+ผับบาร์ที่ดูเลอค่า classy และดิบเท่สุดๆไปเลย ที่นี่เต็มไปด้วยเรื่องราว ดนตรี และศิลปะ แค่ได้เดินสำรวจเข้าออกแต่ละห้องก็คุ้มค่าแล้ว บางจังหวะก็รู้สึกเหมือนเดินทะลุมิติเข้าไปใน Havana ในวันที่ผู้คนยังใส่สูทและสูบซิการ์ควันฉุยกันอยู่ ตลอด 140 ที่ผ่านมาถ้าผนังพูดได้ คงมีเรื่องให้เล่าเยอะแยะเลยล่ะ

อีกร้านนึงที่มีเพื่อนแนะนำมาแบบสุดลิ่มทิ่มประตูคือร้านอิตาเลียนชื่อ Café Di Stasio เราก็พุ่งไปเลย แต่คงคาดหวังมากไปนิดเลยแอบผิดหวังเล็กน้อยในเรื่องรสชาติ ไม่ได้แย่นะ แต่ก็ไม่ได้ว้าว แถมเราก็แอบตกใจกับบรรยากาศ formal dining ตอนที่เปิดประตูเข้าไปเพราะเราเองก็ไม่ได้เตรียมตัวมา ก็เลยแอบเกร็งเล็กน้อยกับผ้าปูโต๊ะสีขาวเรียบกริบและพนักงานเสิร์ฟที่คอยยืนประกบอยู่ไม่ไกล และที่สำคัญราคาไม่เบาเลยล่ะ


เลาะทะเลไกลออกมาทางใต้อีกนิด เราก็จะเจอกับ Brighton นักท่องเที่ยวจะร้องอ๋อเมื่อเห็นภาพบ้านหลังเล็กๆสีสันสดใสเรียงรายกันอยู่ริมหาด บ้านจิ๋วเหล่านี้มีชื่อเรียกกันว่า Bathing Boxes มีทั้งหมด 82 หลัง เป็นหนึ่งในหลักฐานทางวัฒนธรรมยุค Victoria ที่ยังคงอยู่ น้อยคนจะรู้ว่าบ้านเหล่านี้นั้นมีอายุเกินร้อยปีแล้ว ด้วยความน่ารักที่สามารถกระตุ้นต่อมถ่ายรูปได้เป็นอย่างดี จึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของ Melbourne จากหาดตรงนี้พอมองย้อนกลับมาทางเมือง ก็จะเห็น Skyline ของตึกสูงสวยงามอยู่ลิบๆ ทำให้เรานึกถึงหาดบางเสร่เวลาเรามองย้อนไปที่เมืองพัทยาอยู่เหมือนกันนะ


สำหรับชาว local แล้ว หลายคนมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Brighton เป็นย่านในฝันที่จะมาซื้อบ้านอยู่ แต่ก็นั่นแหละเนอะความฝันมักมีราคาที่ต้องจ่ายสูงเสมอ


 

Richmond & Hawthorn

ย้ายมาทางฝั่งตะวันออกของเมืองกันบ้าง 2 ย่านนี้ไม่ค่อยปรากฏอยู่ในไกด์ท่องเที่ยวเท่าไหร่นัก แต่สำหรับคนท้องที่แล้ว นี่เป็น 2 ย่านที่มีร้านอาหารเจ๋งๆแบบที่ไม่ต้องตามกระแสอยู่เยอะเลย แม้จะอยู่ติดกันแต่บรรยากาศกลับต่างกันพอสมควร ฝั่ง Richmond นั้นมีกลิ่นเอเชียคลุ้งเลย เนื่องจากเป็นย่านที่ชาวเวียดนามย้ายมาตั้งรกรากกันอยู่เยอะ โดยเฉพาะบนถนน Victoria Street ถึงกับได้รับขนานนามให้เป็น Little Saigon เลย ส่วน Hawthorn ก็มีความฝรั่งมังค่าน่าเดินเล่นไม่แพ้กัน

AU79 คาเฟ่เก๋ๆใน Richmond


ใน Richmond นอกจากร้านเวียดนามชื่อ Thanh Hà 2 (เราเรียกกันง่ายๆว่าร้าน “ตัญหา 2”) ที่เพื่อนคนไทยของเราที่อยู่ที่นี่ recommend แล้ว นางยังพาเราไปกินขนมและจิบเครื่องดื่มต่อที่คาเฟ่เก๋ๆชื่อ AU79 ที่อยู่ใกล้กันอีกด้วย ซึ่งก็ดีงามตามมาตรฐานเมลเบิร์น แต่ที่เรารีเควสต์ให้นางพาไปเลยก็คือโรงคั่วกาแฟ Coffee Supreme สัญชาตินิวซีแลนด์ที่เราแอบเป็นแฟนคลับอยู่ลับๆมานาน รู้มาว่านางมาเปิดโรงคั่วอยู่ทาง North Richmond มีหรือที่เราจะพลาด

Coffee Supreme


อีกร้านที่เราแอบปลื้มเป็นพิเศษคือร้านอาหารกรีกทางตอนใต้ของ Richmond ชื่อ Bahari เจ้าของเคยเข้าประกวด MasterChef เมื่อหลายปีก่อน จึงเอาสกิลล์มาดัดแปลงอาหารกรีกให้เข้ากับยุคสมัย เน้นให้แบ่งกันกินถูกจริตคนไทย ด้วยความที่ตั้งใจว่าจะต้องกินอาหารกรีกที่เมลเบิร์นให้ได้ เพราะหากินอร่อยๆยากในเมืองไทย และที่เมลเบิร์นเองก็มีคนเชื้อสายกรีกมาตั้งรกรากกันอยู่มาก เพื่อนๆก็เลยจัดให้ชุดใหญ่เลย

Bahari


ข้ามมาฝั่ง Hawthorn คราวนี้มีไกด์เป็นเพื่อนฝรั่งชื่อ Mat ที่ไม่ได้เจอกันนาน นางเป็นคนที่มีรสนิยมด้านอาหารถูกจริตเรา เพราะเราชอบ comfort food มากกว่าอาหารหรูหรา นางจึงพาไปร้าน Vaporetto ร้านอาหารเวนิสบรรยากาศแบบบ้านๆฝรั่งให้ฟีลอบอุ่น มาพร้อมกับพนักงานเสิร์ฟที่เฟรนด์ลี่กำลังดี ร้านนี้กลายเป็นอีกหนึ่งร้านโปรดของเรา และถ้ามีโอกาสได้กลับไปกินอีกก็จะดีใจมากๆ

Vaporetto


อีกร้านในย่าน Hawthorn ที่ Mat พาไปตะลอนกิน และก็ดีงามไม่แพ้กัน เป็นไวน์บาร์สัญชาติสเปนชื่อ Tinto คืนนั้นเราปิดท้ายด้วยเจลาโต้หอมหวานที่ร้าน Piccolina Gelateria ซึ่งเราก็บังเอิญเดินไปเจอ แล้วมารู้ทีหลังเป็นร้านดัง อร่อยเข้มข้นถูกใจเลยล่ะ

Tinto wine bar & food

Piccolina

 

Fitzroy

วนขึ้นมาทางตะวันออกเฉียงเหนือของ CBD ก็จะเจอย่านฮิปที่ชื่อ Fitzroy แนะนำให้เดินเลียบถนน Brunswick เพราะเต็มไปด้วยร้านรวงคาแร็คเตอร์จัดมากมาย ทั้งร้านหนังสือ ดอกไม้ เสื้อผ้า อาหาร ผับ บาร์ คาเฟ่ ไปจนถึงตลาดนัด เรารู้สึกว่าย่านนี้มีพลังงานคล้ายกับ San Francisco ยังไงไม่รู้ วัยรุ่นไม่ควรพลาด (แต่เราเลยวัยนั้นมานานแล้ว 555)

Lune Croissanterie ร้านครัวซองต์ที่กำลังมาแรงสุดๆ


เราเลือกแว่บเข้าไปที่ร้าน LUNE สาขาใหญ่ใน Fitzroy ก่อนเลย เพราะได้ยินชื่อเสียงครัวซองต์ของเขามานาน แต่สิ่งที่ทำให้เราว้าวกลับไม่ใช่ตัวสินค้า (อร่อยเลยน้าา แต่เราเคยกินร้านอื่นที่ถูกใจกว่านี้ และแอบคิดว่าที่นี่แพงไปนิดดด) แต่เป็นวิธีการ “นำเสนอสินค้า” ผ่านคอนเส็ปต์ บรรยากาศ และกลยุทธ์แบรนดิ้งต่างๆ ใครเลยจะคิดว่าร้านครัวซองต์จะสามารถเท่และสร้างความฮือฮามีแฟนคลับมากมายขนาดนี้

Perfect Potion ร้านขายน้ำมันหอมระเหยที่ทั้งช่วยผ่อนคลาย บำบัด และปรับสมดุลให้กับชีวิตที่วุ่นวาย


จากนั้นเราก็เตร็ดเตร่เข้าร้านนู้นออกร้านนี้ ได้ของมานิดๆหน่อยๆ พากระเป๋าสตางค์รอดมาได้แบบต้องตัดใจไปหลายอย่าง จนกระทั่งมาแพ้ทางให้กับร้านขายน้ำมันหอมระเหยที่ชื่อ Perfect Potion แบบไม่ทันตั้งตัว เราเลือกกลิ่นที่สกัดจาดพืชพรรณ local อย่าง Kunzea และอื่นๆอีกหลายขวด รวมถึงที่เค้า blend มาให้แล้วอีกเพียบเลย

ที่จริงย่านนี้ขึ้นชื่อเรื่อง night life มากเลยนะ ผับบาร์ต่างๆก็มีธีมเป็นของตัวเอง เสียดายที่เราไม่ได้อยู่ในมู้ดที่จะปาร์ตี้เลยไม่ได้แวะเก็บบรรยากาศมาฝาก

FREITAG ขวัญใจชาวฮิปสเตอร์

Assembly Label แบรนด์เสื้อผ้าสไตล์ Coastal เน้นโทนสีอบอุ่น

ดูสะอาดตาและผ่อนคลาย ใส่แล้วเหมือนได้เดินเล่นอยู่ริมหาดออสซี่

Mr Simple Fitzroy Location: https://goo.gl/maps/Fg7MqsDmW3bbmBty5

Kloke

Flowers Vasette

Chotto Motto

อันนี้แถมให้ หลุดจาก Fitzroy มาทางทิศตะวันออกมานิดเดียว จะเป็นย่านสงบๆชื่อ Collingwood เราแว่บมาเจอร้านเกี๊ยวซ่าแต่งร้านสไตล์วินเทจแบบญี่ปุ่น ชื่อ Chotto Motto แปลกตาดี อาหารเราว่าไม่ได้ว้าวเว่อร์วัง แต่การได้มาอยู่ในบรรยากาศสนุกๆแบบนี้ก็ตัดเลี่ยนได้ดีเหลือเกิน


 

North Melbourne 

ขยับมาทางเหนือของ CBD เป็นย่านที่เงียบแต่เราชอบจัง ตอนแรกก็กะจะไม่เขียนถึง เพราะก็ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่น แต่พอได้ลองขนมร้าน Beatrix แล้ว บอกได้เลยว่านี่น่าจะเป็นร้านเบเกอรี่โฮมเมดที่เราชอบมากที่สุดใน Melbourne ขนาดเราไปตอนที่ร้านใกล้ปิด ของดังๆของเค้าหมดไปแล้ว ซื้อได้แต่ของที่เหลือในตู้ไม่กี่ชิ้น เรายังตกหลุมรักกับ Caramel Slice และ Cookie คาราเมลเค็ม (ก็มันเหลือแต่คาราเมลอ่าาาา) เข้าอย่างจัง คือดูทรงแล้วอย่างอื่นต้องเด็ดมากแน่ๆเลย

Beatrix ต้องโดนจริงๆ


Mörk เจ้มจ้นล้นใจ


อีกร้านที่สายของหวานน่าจะถูกใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือร้านขาย Specialty Hot Chocolate ที่ชื่อว่า Mörk เมื่อ 12 ปีก่อนเราเทใจให้ช็อคโกแลตร้อนของ Koko Black อีกร้านช็อคโกแลตพรีเมี่ยมของ Melbourne แต่คราวนี้ต้องยกให้ Mörk จริงๆ ขนมอย่างอื่นก็ดี๊ดี เสียดายที่เราดันไป Beatrix มาก่อนแล้ว ความฟินเลยถูกตัดหน้าแบ่งไปง่ายๆซะอย่างนั้น


 

Yarra Valley 

อันนี้ไม่อยู่ในเมือง แต่เราอยากแถมให้ (แถมเก่งงงง) ปกติคนที่มา Melbourne ก็มีทางเลือกให้ออกไปเที่ยวรอบนอกได้หลายจุด ที่โด่งดังที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยวก็เห็นจะเป็นการขับรถเล่นบนถนน The Great Ocean Road ไปชมหิน The Twelve Apostles หรือไปชมเมืองขุดทองโบราณอย่าง Ballarat หรือลงใต้ไป Mornington Peninsula แล้วข้ามไปดูเพนกวิ้นที่ Phillip Island แต่เราไปจุดต่างๆเหล่านั้นมาหลายรอบแล้วเลยอยากเปลี่ยนไปเส้นทางอื่นบ้าง

เราจึงถือโอกาสพาเพื่อนๆ #hopsters ขับรถออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อไปดื่มด่ำกับบรรยากาศไร่องุ่น และจิบไวน์เคล้าอาหารเลิศรสกันที่แหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญของรัฐ Victoria อย่าง Yarra Valley

Zonzo Estate


ในหุบเขา Yarra นั้น มีไร่องุ่นและโรงทำไวน์ชื่อดังอยู่หลายยี่ห้อ จุดแรกที่เราเลือกแวะคือ Zonzo Estate เพราะเพื่อนของเราบอกว่าคนน้อยและวิวสวยเพราะมีทิวเขาเป็น background อยู่ด้านหลัง และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราชอบบรรยากาศที่นี่ มีความยุ้งฉางโมเดิร์นที่ตกแต่งแต่พอดี ร้านอาหารก็น่าลองมากๆ แต่เรามาถึงก่อนเวลามื้ออาหาร และเพื่อนแพลนที่อื่นไว้แล้ว เลยต้องตัดใจ T_T แต่คราวหน้าไม่พลาดแน่


Domaine Chandon


จากนั้นเราไปต่อกันที่ Domaine Chandon หลายคนน่าจะรู้จักหรือคุ้นชื่อกันบ้าง ในฐานะแบรนด์ที่โดดเด่นในเรื่อง New World Sparkling Wine เพราะเขาเป็นเพียงเจ้าเดียวในออสเตรเลียที่ใช้กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมของฝรั่งเศส บรรยากาศที่นี่ดูเก่าแก่มีประวัติศาสตร์มากกว่าที่แรก และจำนวนคนก็มากกว่าเช่นกัน เราเดินดูพิพิธภัณฑ์ของแบรนด์ ทะลุไปยังห้องอาหาร/จิบไวน์ที่คึกคักมาก ก่อนจะออกไปสูดอากาศในไร่องุ่นเพื่อซึมซับเอาพลังงานดีๆเข้าร่าง

The Coombe Cottage


จุดสุดท้ายที่เราแวะก็คือ Coombe ที่นี่เป็นทั้งจุดชิมไวน์/ร้านอาหาร/แกลอรี่ และสถานที่จัดงานเลี้ยงสำคัญต่างๆ สถานที่แห่งนี้เคยเป็นบ้านเก่าของ Dame Nellie Melba นักร้องโอเปร่าระดับตำนานของออสเตรเลีย มีพื้นที่ถึง 7 เอเคอร์ (เกือบ 18 ไร่) และโดดเด่นด้วยสวนอังกฤษสวยหยด เต็มไปด้วยต้นไม้เก่าแก่ที่ดูอุดมสมบูรณ์ สะกดสายตาผู้มาเยือนตั้งแต่รั้วที่ตัดแต่งจากพุ่มไม้ขนาดมหึมาให้เป็นแนวเส้นโค้งอ่อนช้อยดูคลาสสิคแต่ก็ทันสมัยไปพร้อมๆกัน เราชอบที่นี่มากๆ ขณะที่เรากำลังพิมพ์บทความนี้อยู่ก็แอบนึกถึงบรรยากาศการนั่งจิบชาคู่กับ scone อร่อยๆระหว่างนั่งเม้าท์มอยกับเพื่อนๆที่โต๊ะในสนามหญ้าหลังบ้านคุณนาย Melba แหม.. มันน่ากลับไปเยี่ยมอีกซักรอบจริงๆ

คงจะพอเห็นภาพกันบ้างแล้วเนอะว่าทำไม Melbourne ถึงอยู่อันดับต้นๆของเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกมาติดต่อกันหลายต่อหลายปี ส่วนผสมที่ลงตัวของผังเมืองที่เรียบง่ายทันสมัย ระบบสาธารูปโภคและคมนาคมที่มีคุณภาพ การส่งเสริมแบรนด์ท้องถิ่นให้เติบโต พื้นที่สีเขียวที่ร่มรื่นงดงามและเพียงพอสำหรับทุกคน และที่สำคัญที่สุดก็คือการเปิดรับความหลากหลายมางวัฒนธรรม ซึ่งก็นำมาสู่ทางเลือกที่ไม่รู้จบในเรื่องอาหารการกินและสุนทรียภาพในการใช้ชีวิต ทำให้ Melbourne นั้นมีแรงดึงดูดอันทรงพลัง แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากประเทศส่วนใหญ่ในโลกเพียงใด แต่ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศก็ยังคนหลั่งไหลย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่นี่กันอย่างไม่ขาดสาย


 

Things we bought

ไปเมลเบิร์นซื้อนี่ดิ!!

ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าเราซื้อของมาเยอะกว่าในรูปมาก 5555 แต่เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีไม่บ้าหอบฟางเกินไป เราขอเลือกมาแนะนำก็แล้วกัน อย่างแรกเลยก็คือเมล็ดกาแฟ และสินค้าเกี่ยวกับกาแฟต่างๆ เพราะเมลเบิร์นดังเรื่องนี้มากจริงๆ (ชาเค้าก็มียี่ห้อ local หลายยี่ห้อนะ ดังสุดก็คือ T2 แต่เรากินหมดตั้งแต่อยู่ที่นู่นเลยไม่ได้เอากลับมาถ่ายด้วยกัน) เราซื้อเมล็ดมาจากหลายยี่ห้อ ทั้ง Market Lane, ST. ALI, Supreme ฯลฯ เราได้แก้วเก็บความร้อน (คนแถวนี้เรียก Keep Cup) จาก Frank Green มาด้วย


เราเลือกเสื้อผ้าสบายๆจาก Assembly Label และแอบหยิบนิตยสาร Screen'ry ฉบับแนะนำ Melbourne ที่วางขายในร้านติดมาด้วย (เสื้อผ้าดีไซเนอร์แบรนด์อินเตอร์ต่างๆที่นี่ก็มีให้เลือกเยอะ และราคาก็แทบไม่ต่างกับที่ยุโรปเลยนะ) ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างก็เห็นจะเป็นผลิตภัณฑ์ Aesop ที่ราคาถูกว่าที่อื่นแบบปฏิเสธยาก สุดท้ายก็คือของจุกจิกจากตลาดและซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Manuka Honey อาหารเสริมที่สกัดจากธรรมชาติ เครื่องประทินผิว ของกินนู่นนี่นั่นอีกนับไม่ถ้วน รวมไปถึงเครื่องใช้จิปาถะอีกมากมาย อ่อๆๆๆ เราลืมน้องน้ำมันหอมระเหยขวดจิ๋วไปเลย เราปลื้มกลิ่นแปลกๆที่เมืองไทยไม่มีขายหลายกลิ่นเลยแหละ



FB/IG: @hoparound.co

Youtube: hoparound.co

Website: www.hoparound.co

.

#LetsHoparoundMelbourne #LetsHoparound #Melbourne #Melbournecity #MelbournecityGuide #Travel #เมลเบิร์น #เที่ยวเมลเบิร์น #รีวิวเมลเบิร์น #เมลเบิร์นไปไหนดี #ไปไหนดีในเมลเบิร์น #รอบเมลเบิร์น #เมืองเมลเบิร์น #ไปเมลเบิร์น #เที่ยวเมลเบิร์นด้วยตัวเอง #บินไปเมลเบิร์น

ดู 6,371 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Commenti


bottom of page