The St. Regis Bangkok อิ่มเอมประสบการณ์ ณ โรงแรมระดับตำนานแห่งนิวยอร์ค
วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปลิ้มลองประสบการณ์ Staycation อันหรูหราและเอร็ดอร่อยกับแพ็คเก็จ Gastronomic Stay แสนคุ้มค่า มัดรวมกันมาให้ทั้งห้องพัก อาหาร และเครื่องดื่ม ณ โรงแรม St. Regis Bangkok กันครับ รายละเอียดตามนี้เลยครับ
-----------
🤩 เปิดประสบการณ์พักผ่อนอย่างเหนือระดับกับแพ็กเกจ 𝗚𝗮𝘀𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗶𝗰 𝗦𝘁𝗮𝘆
สัมผัสบริการพิเศษจาก เซนต์ รีจิส บัตเลอร์ พร้อมอิ่มอร่อยไปกับเซตอาหารแบบ 7 คอร์ส และ Astor Hour เสิร์ฟเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์แบบไม่จำกัด
🔎 สำรองห้องพัก bit.ly/StRegisBangkokGastronomicStayTH
✨ ราคาเริ่มต้น 15,250บาท++ ต่อคืน สำหรับ 2 ท่าน
♢ เซตอาหารเย็น 7 คอร์ส (วันอาทิตย์–พฤหัสบดี) หรือดินเนอร์บุฟเฟต์ (วันศุกร์–เสาร์) ณ ห้องอาหารวูว์
♢ The Astor Hour เสิร์ฟเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ แบบไม่จำกัด 1 ชั่วโมง พร้อมคานาเป้ ณ เดอะ เซนต์ รีจิส บาร์
♢ อาหารเช้า ณ ห้องอาหารวูว์
🤩 Indulge in a half-board offer at The St. Regis Bangkok
Enjoy a series of gastronomic experiences, including daily breakfast and a choice of a 7-course set lunch or dinner for two. Wind down in the evening with one hour of unlimited spirit-free cocktails and exquisite canapés at The St. Regis Bar overlooking the city.
🔎 Book Now: bit.ly/StRegisBangkokGastronomicStay
✨ Price starting from THB 15,250++ for 2 persons
♢ 7-course set dinner (Sunday–Thursday) or EPIC Dinner Buffet (Friday–Saturday) at VIU
♢ The Astor Hour: 1 hour of free-flow non-alcoholic beverages and canapés at The St. Regis Bar
♢ Daily breakfast at VIU
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
For more information
☎️ 02-207-7777
📩 reservation.bangkok@stregis.com
A Brief History
ปูพื้นกันซักนิด โรงแรม St. Regis ดั้งเดิมที่ New York นั้นเป็นผลงานของ J.J. Astor บุรุษคนดังในแวดวงสังคมชั้นสูงแห่งยุค Guilded Age เขาเป็นทั้งนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายทหารยศพันเอก นักประดิษฐ์คิดค้นผู้มีวิสัยทัศน์ และชายผู้มั่งคั่งที่สุดบนเรือ Titanic ก่อนที่จะจมลงไปพร้อมกับเรือสู่ทะเลอันหนาวเหน็บในปี 1912
เมื่อตอนเปิดตัวบนถนน Fifth Avenue ในปี 1904 อาคาร St. Regis กลายเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในอเมริกาด้วยความสูง 18 ชั้นในสไตล์ French Beaux-Arts อันงดงามและยังขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ทั้งหรูและล้ำที่สุดอีกด้วย เพราะทุกๆห้องนั้นมีโทรศัพท์เป็นของตัวเองในยุคที่โทรศัพท์ยังคงเป็นเทคโนโลยีใหม่และราคาแพงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะเอื้อมถึง
ส่วนชื่อ St. Regis นั้น J.J. Astor เลือกตามคำแนะนำของหลานสาวที่นำมาจากชื่อของทะเลสาบ Upper St. Regis Lake ทางตอนเหนือของรัฐ New York ซึ่งก็ถูกตั้งตามชื่อนักบุญชาวฝรั่งเศสผู้โอบอ้อมอารีมาอีกทอดหนึ่ง
ในวันนี้แบรนด์ St. Regis มีอายุ 118 ปีแล้ว และได้ต้อนรับแขกระดับ VVIP ของโลกในทุกวงการมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศ นักธุรกิจ ศิลปิน ดารา ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญมาหลายยุคสมัย ผ่านความเปลี่ยนแปลง และสร้างประวัติศาสตร์มาครั้งแล้วครั้งเล่า ปัจจุบัน St. Regis นั้นมี Property ในกว่า 60 โลเคชั่นทั่วโลกภายใต้การดูแลในเครือ Marriot
เพื่อนๆรู้ไหมครับว่า Bloody Mary เครื่องดื่ม Cocktail สุดคลาสสิคที่มีอยู่ในแทบทุกบาร์ทั่วโลกก็มีต้นกำเนิดจากโรงแรมแห่งนี้นี่เอง จนกลายเป็นธรรมเนียมว่า St. Regis ทุกแห่งในโลกนั้นต้องมี Bloody Mary ในเวอร์ชั่นตัวเอง และสำหรับที่กรุงเทพนั้นก็มี Siam Mary เพื่อนๆลองสั่งมาชิมกันดูนะครับ
The Arrival
St. Regis Bangkok นั้นตั้งอยู่บนถนนราชดำริในทำเลที่เลอค่าที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ นอกจากจะติดสถานี BTS และอยู่ใกล้แยกราชประสงค์เพียงไม่กี่ก้าวแล้ว ฝั่งตรงข้ามยังเป็นราชกรีฑาสโมสร พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่มีทั้งสนามกอล์ฟและสนามแข่งม้า จึงทำให้ St. Regis Bangkok นั้นได้ “The Best Of Both Worlds” ทั้งความสะดวกใจกลางเมืองและความเขียวขจีแบบ Exclusive พร้อมๆกัน
เราเทียบรถที่ทางเข้าตึก แล้วพนักงาน Porters ก็ช่วยลำเลียงสัมภาระของเราลงจากรถพร้อมเสนอบริการ Valet Parking ให้ บรรยากาศโถงชั้นล่างของตึกนั้นดูโอ่อ่าสวยงาม ที่นี่เน้นการใช้งานผ้าลวดลายอ่อนช้อยต่างๆมาบุประดับผนังโดยจะพบสิ่งนี้ได้ทั่วโรงแรมเลยครับ เราอ่านเจอมาว่าที่ St.Regis ดั้งเดิมที่ NYC ก็ใช้ผ้าไหมบุผนังเช่นกัน ก็เลยเดาเอาว่าน่าจะเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแบรนด์
ส่วน Lobby ของโรงแรมนั้นอยู่บนชั้น 12 ซึ่งเราต้องกดลิฟท์ขึ้นไปเพื่อเช็คอิน ขั้นตอนทุกอย่างราบรื่นดีครับ พนักงานต้อนรับดูแลเราอย่างดี และพาเราขึ้นไปส่งเพื่อแนะนำห้องพักด้วย
Our Room
ที่ St. Regis Bangkok นั้นมีห้องพักทั้งสิ้น 227 ห้องพัก (ไม่รวม Owner’s Penthouse ขนาด 800 ตร.ม.) และแบ่งเป็นประเภทต่างๆถึง 12 Room Types โดยมีขนาดตั้งแต่ 45-250 ตร.ม. หนึ่งในห้องพักที่ Popular ที่สุดก็คือห้องพักของเรานั่นเอง (หมายเลข 1624) ห้องนี้มีชื่อว่า Caroline Astor Suite ทั้งโรงแรมมีอยู่ทั้งหมด 14 ห้องซึ่งเป็นห้องมุมของชั้นต่างๆ ทำให้เทควิวทั้งฝั่งสนามราชกรีฑาสโมสรแบบ 180 องศา และฝั่งเมืองแยกราชประสงค์แบบเต็มตา
พื้นที่ 90-115 ตร.ม. (แล้วแต่ชั้น) ของห้อง Caroline Astor Suite นั้นถูกจัดสรรให้เป็นสัดส่วนดีมากๆ เริ่มตั้งแต่ Foyer โถงทางเข้าห้องและห้องน้ำสำหรับแขก ถัดไปอีกก็เป็นห้องนั่งเล่น/ห้องรับแขกที่กว้างมากแถมได้วิวเมืองผ่านกระจกบานโตอีกด้วย หันกลับเข้ามาอีกฝั่งของห้องก็เป็น Study Area ให้นั่งทำงานได้สบายๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อพบกับเตียง King Size พร้อมวิวเขียวขจีของสนามกอล์ฟฝั่งตรงข้ามแบบจุใจ ยังไม่พอครับ เดินทะลุ Walk-In Closet เข้าไปโซนห้องอาบน้ำก็ยิ่งน่าประทับใจ เพราะเราสามารถแช่อ่างใบใหญ่ไปพร้อมๆกับชมวิวอันสวยงามได้เลย
อีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของ St. Regis ก็คือการที่มี Butler (On Call) มาให้บริการครับ เพื่อนๆสามารถโทรขอบริการ Butler ได้ 24 ชั่วโมงเลย เราขอให้พี่ Butler มาช่วย Unpack กระเป๋า และเตรียมอ่างอาบน้ำให้เราด้วย แต่ช่วงนี้โรงแรมเพิ่งกลับมาเปิดให้บริการหลังโควิด พนักงานยังไม่ครบทุกตำแหน่ง Butler คนหนึ่งอาจต้องดูแลหลายห้อง ก็ต้องใจเย็นกันนิดนะครับ เราแนะนำให้นัดพี่ๆเค้าล่วงหน้าจะดีที่สุดครับ
พรรณนาความดีงามของห้องมาเยอะเลย เพื่อนๆอาจจะสงสัยว่าแล้ว Caroline Astor คือใครกัน ทำไมถึงต้องเอามาตั้งเป็นชื่อห้องด้วยนะ เราขอเฉลยว่าเธอคือคุณแม่ของ J. J. Astor ผู้ก่อตั้ง St. Regis นั่นเองครับ และเธอก็เป็นสตรีผู้ทรงอิทธิพลอย่างมากในยุคนั้นอีกด้วย ถึงขนาดจัดงาน Caroline’s 400 ของตัวเอง โดยเลือกเชิญเฉพาะบุคคลหัวกะทิในแวดวงต่างๆของสังคม New York จำนวนถึง 400 คน ในตอนนั้นบรรดาคนดังต่างก็ใฝ่ฝันว่าจะได้รับเชิญ แต่ Caroline เท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ
ในปัจจุบัน Caroline’s 400 นั้นกลายเป็นชื่อกลิ่นน้ำหอมประจำโรงแรม St. Regis ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกลิ่นไม้หายากในห้อง Ballroom ของเธอ เจือด้วยกลิ่นดอกกุหลาบสายพันธุ์ American Beauty ที่เธอหลงไหล
Pool
สระว่ายน้ำของ St. Regis Bangkok นั้นอยู่บนชั้น 15 ขนาดไม่ใหญ่มาก เน้นให้ลงเล่นแบบเพลินๆมีโซนที่มีหัวเจ็ทนวดตัวให้ด้วยนะครับ หรือถ้าไม่อยากลงน้ำเราสามารถสั่งเครื่องดื่มมาจิบขณะนั่งพักผ่อนริมสระ พร้อมชมวิวไปพลางๆก็ได้ บริเวณสระมีพนักงานคอยให้บริการแบบใส่ใจดีมากเลยครับ
Clinique La Prairi
นี่คือมุมลับที่เราโปรดปรานมากที่สุดในโรงแรมเลย Clinique La Prairie นั้นเป็นแบรนด์คลีนิคความงามและสุขภาพชั้นยอดระดับตำนานจากสวิสเซอร์แลนด์ และที่นี่ก็เป็นสาขานอกยุโรปแห่งแรกของแบรนด์ (St. Regis Bangkok ของเราไม่ธรรมดาจริงๆ) สิ่งที่ดีที่สุดก็คือแขกของโรงแรมทุกคนสามารถเข้ามาใช้ Wet Facilities ของที่นี่ได้ฟรีตลอดการเข้าพักเลยครับ แต่แทบไม่มีใครรู้!
ภายในเหมือนกับเราอยู่ใน Private Onsen แบบ High End เลยครับมีทั้งบ่อจากุซซี่น้ำเกลือร้อน บ่อ Cold Plunge พร้อม Cold Waterfall Shower ห้อง Rasul ห้อง Steam ทางเดินนวดเท้าด้วยหิน และ Smart Shower ที่สามารถตั้งโปรแกรมเวลาและอุณหภูมิได้ บอกเลยว่าฟินมากทั้งในเรื่องคุณภาพและความเป็นส่วนตัว ในระหว่างที่เข้าใช้บริการเราแทบไม่เจอแขกคนอื่นเลย
Epic Dinner Buffet at Viu
สำหรับเพื่อนๆที่จองมาในแพ็คเก็จ Gastronomic Stay ก็จะมีดินเนอร์แสนอร่อยรวมอยู่ในแพ็คด้วย หากเข้าพักในวันอาทิตย์-พฤหัสฯ ทางห้องอาหาร Viu (วูว์) ก็จะเสิร์ฟเป็นเซ็ตดินเนอร์ 7 Course แต่หากเพื่อนๆเข้าพักวันศุกร์-เสาร์เหมือนกับเรา ก็จะเจอกับ Epic Dinner Buffet สุดอลังการ (ปกติราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2,500++ บาทต่อหัวนะครับ) โดยจะมีดาวเด่นเป็น Lobster ให้คนละ 1 ตัว สามารถแบ่งครึ่งให้เชฟปรุงได้ 2 แบบ ส่วนไลน์ Buffet ก็จะมีทั้งอาหารทะเลพรีเมี่ยมสดๆ ชาชิมิ เนื้อสตริปลอยน์ หมูคุโรบุตะ ซี่โครงแกะ ฮามอน อิเบอริโก้ ชีสนานาชนิด อาหารไทย ญี่ปุ่น ยุโรป ทั้งคาวและหวานมาครบหมดครับ เราอิ่มอร่อยกันมากจนต้องขอชา Peppermint มาตบท้ายเพื่อช่วยให้ท้องรู้สึกเบาขึ้นซักนิดก่อนกลับไปที่ห้อง
Turn Down
เราชอบห้องของเรามากครับ ความสวยงาม สะดวกและกว้างขวางทำให้เราอยากใช้เวลาที่ห้องนานๆ ที่สำคัญคือวิวในแต่ละช่วงเวลาของวันนั้นมีเสน่ห์ไม่เหมือนกันเลย ตอนฝนตกก็เป็นมู้ดที่สวยไปอีกแบบ หลังดินเนอร์มื้อใหญ่จบไป เราก็กลับมาพบกับห้องที่ Turn Down เสร็จเรียบร้อยแล้ว คืนนี้เราน่าจะนอนหลับกันสบายเลย อ่อ! อย่าไปเผลอปิด Master Switch ที่ประตูทางเข้าห้องนะครับ ไม่งั้นแอร์จะไม่ทำงาน เราเองก็งงอยู่นานจนต้องเรียก Butler มาช่วย
Gym
ตื่นเช้ามาวันนี้ เราขอฮึบออกกำลังกันก่อนเลย ยิมของ St. Regis Bangkok ครบและทันสมัยมากครับ ที่นี่ใช้เครื่องออกกำลังกายแบรนด์ TechnoGym ไม่ว่าจะเน้นเบิร์นไขมัน เพิ่มความยืดหยุ่น หรือสร้างกล้ามเนื้อทั้งแบบใช้เครื่องและยกเวทก็มีครบ รวมถึงเวทีมวยขนาดย่อมให้ซ้อมชกด้วย และที่สำคัญคือมีเทรนเนอร์อยู่ประจำคอยแนะนำการใช้อุปกรณ์และองศาท่าที่ถูกต้อง และหากอยากจัด Session ส่วนตัวก็สอบถามทางโรงแรมเพิ่มเติมได้เช่นกัน
Breakfast Buffet
ท้องเริ่มหิวแล้ว เรารีบอาบน้ำแต่งตัวไปเพื่อเพิ่มพลังกันต่อเลยครับ เรากลับมาที่ห้องอาหาร Viu อีกครั้งในบรรยากาศบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าซึ่งรวมอยู่ในแพ็คเก็จ Gastronomic Stay ด้วยเช่นกัน ทุก Station เต็มพรึ่บไปด้วยอาหารทุกหมวดหมู่ หลายสัญชาติ รวมไปถึงเครื่องดื่มและผลไม้ด้วย ให้รูปเล่าเรื่องก็แล้วกันนะครับ
เราชอบครัวเปิดตรงกลางที่ทำให้เราได้ Enjoy ดูเชฟง่วนทำอาหารเสิร์ฟแขกนับร้อยกันอย่างขะมักขเม้น มีชีวิตชีวามากครับ นอกจากอาหารบนไลน์ Buffet แล้วอาหารไทยๆอย่างข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ ไข่เจียวหมูสับ หรือก๋วยเตี๋ยวก็มีให้สั่งได้เช่นกัน