Banyan Tree Veya Phuket อิสระแห่งการได้หยุดพักและถักทอคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
Veya (เวญา) คือแบรนด์รีสอร์ทใหม่ล่าสุดจากเครือ Banyan Tree ซึ่งเปิดตัวที่ภูเก็ตเป็นแห่งแรกในโลก โดยนำเสนอแนวคิด Conscious Living เน้นการสอดประสานการดูแลสุขภาพอย่างมีสติเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับการพักผ่อนที่หรูหรา มีผู้เชี่ยวชาญช่วยประเมินสุขภาพพร้อมให้คำแนะนำแบบตัวต่อตัว ให้อิสระกับแขกในการเลือกเรียนรู้จากกว่า 50 คลาส/สัปดาห์เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปเลือกใช้ในชีวิตประจำวันต่อได้เอง หรือจองไปแล้วจะแคนเซิ่ลเมื่อไหร่ก็ได้ ความยืดหยุ่นที่ปราศจากแรงกดดันนี้ทำให้ Veya ตั้งอยู่บนจุดกลมกล่อมที่จะช่วย “ถักทอ” สิ่งที่ดีต่อสุขภาพให้เป็นเนื้อเดียวกันกับชีวิตประจำวันของเราได้อย่างแนบเนียน สมกับความหมายของคำว่า Veya ที่แปลว่า “To Weave” นั่นเอง
วันนี้ hoparound.co ทำตามสัญญาแล้วครับ จะพาเพื่อนๆบินไปภูเก็ตกันอีกครั้ง คราวนี้เราจะพาเพื่อนๆไปชม Veya กันก่อนใครเลย
สนใจสอบถามโทร 076 372 400
Line: @BanyanTreePhuket
Email: phuket@banyantree.com
The Arrival
ทางรีสอร์ทส่งรถ Mercedez-Benz มารอรับเราที่สนามบิน โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง Banyan Tree Veya ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาจักร Laguna อันยิ่งใหญ่ทางทิศตะวันตกของเกาะ ต้นไทร (Banyan Tree) 5 ต้นตรงวงเวียนหน้าทางเข้าโรงแรมนั้นบอกเราให้รู้ว่าเรามาถึง Banyan Tree เรียบร้อยแล้ว พนักงานเล่าให้ฟังว่าที่นี่ไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของ Banyan Tree Veya ที่แรกในโลกเท่านั้นนะครับ แต่เป็นจุดกำเนิดของแบรนด์ Banyan Tree ทั้งหมดมาตั้งแต่ปี 1994 ก่อนที่จะขยายไปทั่วโลก
ก่อนหน้านี้แผนก Wellbeing เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Banyan Tree Phuket แต่เมื่อกระแสสังคมยุคใหม่ให้ความใส่ใจกับสุขภาวะและการพักผ่อนแบบ Luxury กันมากขึ้น Veya จึงเกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยตรง โดยแยกตัวออกมาจาก Banyan Tree ใหญ่ แต่แขกของ Veya นั้นยังสามารถเข้าไปใช้พื้นที่และ Facilities ของอีกฝั่งได้เหมือนเดิม และที่อยู่ติดกันอีกด้านของ Veya ก็จะเป็นส่วนของสนามกอล์ฟ หากสนใจใช้บริการสอบถามทางรีสอร์ทได้เช่นกันครับ
เนื่องจากส่วนของ Banyan Tree เองนั้นมีพื้นที่กว่า 200 ไร่ (จากพื้นที่ Laguna ทั้งหมดกว่า 2,500 ไร่!) พนักงานจึงเสนอให้เราแอดไลน์ของ Veya เพื่อความสะดวกในการสอบถามข้อมูลหรือในกรณีที่เรามี Request พิเศษ หลังจากดื่ม Welcome Drink ซึ่งเป็นน้ำสมุนไพรที่จะเปลี่ยนสีไปตามแต่ละวันที่เช็คอิน (เราไปถึงในวันศุกร์จึงได้น้ำสีฟ้า) จนชื่นใจกันแล้ว พนักงานต้อนรับก็พาเรานั่งรถบั๊กกี้ไปส่งและแนะนำห้องพักกันถึงที่เลยทีเดียว
Our Villa
เราพักที่ Villa หมายเลข 633 ทุกห้องของ Veya นั้นล้วนแต่เป็น Pool Villa ที่กว้างขวางเป็นส่วนตัว จุดเด่นคือแนวคิด Sleep & Rest ซึ่งเป็นข้อแรกของ “8 Pillars Of Wellbeing” ที่พัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญจาก Veya โดยเฉพาะ ซึ่งในส่วนของห้องพักนั้น Veya ให้ความสำคัญอย่างมากกับการนอนหลับเต็มอิ่มของแขก ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่แตกต่างจากโรงแรมส่วนใหญ่ที่เราเคยเข้าพัก
Bedding Area
ทุกองค์ประกอบถูกคัดสรรมาอย่างดีเพื่อ “ถักทอ” ให้เกิดความผ่อนคลายในประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของแขกที่เข้าพัก ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งห้องพักอย่างสวยงามด้วยสีเอิร์ธโทนให้ความรู้สึกสะอาดปลอดภัย มีม่านทึบแสงเพื่อช่วยให้หลับสนิทปราศจากแสงรบกวน นาฬิกาปลุกที่จำลองแสงอาทิตย์ยามเช้าและเสียงธรรมชาติ ไฟหัวเตียงที่ช่วยตัดแสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือหรือไอแพด เตียงที่นุ่มสบายราวกับค่อยๆดูดร่างของเราให้จมลึกลงไป เมนูหมอนที่เลือกได้ตามสรีระของเรา กลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากเตา Burner และธูปหอมที่มีเตรียมไว้ให้ทุกห้อง ดนตรี Binaural Beats ที่ใช้คลื่นความถี่ให้สมองผ่อนคลายในระดับต่างๆ Singing Bowl ที่เราสามารถฝึกวนจนเกิดเสียงเพื่อสร้างความสงบได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังมีแถบยางยืดและเสื่อโยคะสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกความยืดหยุ่นให้ร่างกายอีกด้วย ส่วนมินิบาร์ก็จะเน้น Snacks ที่ดีต่อสุขภาพ แต่หากใครหิวจริงจังแต่ไม่อยากออกจากวิลล่า ก็สามารถสั่ง In-Villa Dining มารับประทานได้เลย แอบใบ้ว่า Veya มีเมนูอาหารสุขภาพที่ไม่เหมือนใครในนามว่า Flexitarian ด้วย จะเป็นยังไงนั้นต้องติดตามอ่านต่อด้านล่างนะครับ
Private Swimming Pool and Jet Tub
ด้านนอกห้องเป็นสระน้ำเกลือขนาดกำลังดี และที่เราประทับใจมากก็คือบ่อ Jacuzzi น้ำร้อนที่อยู่ติดกัน เพราะมีน้ำร้อนพร้อมให้แช่ตลอด 24 ชม. ไม่ต้องรอเติมน้ำให้เต็มเหมือนอ่างอาบน้ำทั่วๆไป หัวเจ็ตก็แรงดีครับช่วยคลายเมื่อยได้ดีมากเลย ยิ่งแช่ตอนกลางคืนก็จะช่วยให้หลับสบายมากครับ
Personal Consultation
ก่อนวันเช็คอินเกือบสัปดาห์ ทาง Veya ได้ส่งแบบสอบถามเพื่อประเมินสุขภาพของเราตามหลัก 8 Pillars Of Wellbeing มาทางอีเมลล่วงหน้า จริงๆอยากอธิบายหลัก 8 ข้อนี้ให้เพื่อนๆฟัง แต่กลัวจะเบื่อกันซะก่อน ถ้าเพื่อนๆสนใจก็ดูข้อมูลต่อกันได้ที่ลิงค์นี้นะครับ https://www.banyantree.com/thailand/veya-phuket/8-pillars
เมื่อเรามาถึง ผู้เชี่ยวชาญจึงนัดเวลามาสรุปผลการประเมินให้เราฟังแบบเฉพาะบุคคล ที่ว่า “เฉพาะบุคคล” นี้จริงจังนะครับ เพราะเรามาด้วยกัน 2 คน แต่ต้องแยกกันปรึกษา เราได้รับเกียรติจากคุณ Kim ซึ่งเป็น Director Of Wellbeing สาวชาวออสเตรเลีย และคุณ Raj ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำสมาธิและการฝึกหายใจชาวอินเดียมาช่วยให้คำแนะนำครับ
นอกจากเราจะได้รู้ว่าใน 8 เรื่อง มีเรื่องไหนที่เป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อนสำหรับเราแล้ว ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 2 ท่านยังแนะนำ Workshop เป็นเหมือนคลาสสั้นๆให้เราเข้าไปเรียนรู้เทคนิควิธีที่จะช่วยให้สุขภาพเราดีขึ้นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยเรามีอิสระเต็มที่ที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมก็ได้ หรือจะจองไปก่อนแล้วยกเลิกทีหลังก็ได้เช่นกันครับ ซึ่งทาง Veya มีให้เลือกมากกว่า 50 คลาสต่อสัปดาห์ทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นคลาสฝึกสมาธิ ฝึกหัวเราะ กราวน์ดิ้ง ฝึกคลายความตึงเครียดในร่างกาย โยคะ พีลาทีส การออกกำลังกายเพื่อเบิร์นไขมัน การบำบัดด้วยกลิ่น ไปจนถึงความรู้เกี่ยวกับอาหารการกิน และ Mindful Living
ดูตารางกิจกรรมได้ที่นี่นะครับ https://www.banyantree.com/thailand/veya-phuket/experiences
The Food
หลังจากรับคำปรึกษาด้านสุขภาพแบบตัวต่อตัวแล้ว ท้องเราก็เริ่มร้องเบาๆครับเพราะเลยเที่ยงมานิดหน่อยแล้ว จริงๆแล้วความรู้เกี่ยวกับอาหารที่รับประทานเข้าไป (Dietary Awareness) นั้นเป็นเสาต้นที่ 2 ใน 8 Pillars Of Wellbeing เลยครับ Lunch มื้อนี้เราจึงสนใจอยากลองอาหาร Flexitarian ตำรับ Veya เป็นพิเศษ หน้าตาจะน่ากินขนาดไหนไปดูกันเลยครับ และถ้าอยากสำรวจเมนูเต็มๆพร้อมรายละเอียดแต่ละจาน ก็คลิกตรงนี้ได้เลยครับ https://www.taste.banyantree.com/bt-phuket-veya-eng
อาหาร Flexitarian นั้นปรุงแบบ Asian ผสม Mediterranean เน้นใช้วัตถุดิบที่ปลอดภัยและเป็นประโยชน์ครบหมู่ สมดุล ยืดหยุ่น ไม่สุดโต่ง ตัดสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างแป้งและน้ำตาลฟอกขาวออกไป แล้วใช้วัตถุดิบให้ความหวานจากธรรมชาติที่ปลอดภัยอื่นๆมาทดแทน รวมทั้งมีการลดโซเดียมลงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ในขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความสำคัญกับรสชาติความอร่อย มีการใช้เนื้อสัตว์ที่คัดสรรมาอย่างดีมาประกอบอาหารอยู่ด้วย ทำให้ Flexitarian เป็นอาหารสุขภาพที่กินง่ายและอยู่ท้อง แม้สำหรับผู้ที่ไม่ชินกับอาหารสุขภาพ ที่สำคัญคือหน้าตาดีมากครับ
Breakfast
ในแต่ละมื้อเชฟก็จะรังสรรค์เมนูออกมาแตกต่างกันออกไปครับ เราได้ลองเมนูมื้อเช้าด้วยซึ่งเราสั่งให้มาเสิร์ฟที่วิลล่าของเราเลย อันนี้ต้องสั่งล่วงหน้า 1 วันนะครับโดยติ๊กเลือกจากเมนูกระดาษที่ทางรีสอร์ทให้มา หรือจะถ่ายรูปแล้วติ๊กหน้าจอส่งให้พนักงานทางไลน์ก็ได้เช่นกันครับ ตอนที่เราเลือกจากเมนูไม่ได้คิดว่าตอนมาเสิร์ฟจริงๆจะจัดเต็มจนโต๊ะแทบวางไม่พอขนาดนี้นะครับ เล่นเอาพุงไม่พอใส่กันเลยครับ ฮ่าๆๆ
Dinner
นอกจากอาหารสุขภาพแล้ว ถ้าใครยังรู้สึกโหยหาความอร่อยสะใจของอาหารแบบปกติก็ไม่ต้องกังวลเลยครับ เพราะเราก็เป็นเช่นกัน ฮ่าๆๆๆ เราแว่บไปกินบาร์บีคิวอาหารทะเลและอาหารฝรั่งแสนอร่อยที่ร้าน The Watercourt กับอาหารไทยรสเยี่ยมที่ร้าน Saffron อันโด่งดัง (มีสาขาใน Banyan Tree ทั่วโลก) ในฝั่ง Banyan Tree ใหญ่มาด้วยครับ และเราก็อยากชวนเพื่อนๆไปลองเช่นกัน ติดใจแน่นอนครับ ถ้าไม่เชื่อก็ลองชมรูปดูไปก่อนนะครับ
The Activities
มา Veya ที่เดียวเหมือนได้เสาครบ 8 ต้นครับ เนื่องจากช่วงก่อนเราเข้าพัก เรามีปัญหาเกี่ยวกับการนอนค่อนข้างมาก คลาสที่เราเลือกจึงเน้นเรื่องการปรับปรุงคุณภาพการนอนอย่าง Sleep Meditation ที่ช่วยให้เราค่อยๆคลายกล้ามเนื้อทีละส่วนอย่างมีสติเพื่อเตรียมให้ร่างกายได้หลับลึกลงไป หรือ Ocean Breath คือการฝึกควบคุมลมหายใจทั้งเพื่อคลายเครียดและเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย ซึ่งตามปกติจะนัดกันที่ริมหาดเพื่อสูดไอบริสุทธิ์ของทะเลยามเช้า แต่บังเอิญฝนตกหนักเราจึงฝึกในศูนย์ Wellbeing Center แทน อีกคลาสที่เราลงจองเอาไว้ก็คือ Conscious Grounding เป็นการตั้งสติฝึกเดินเท้าเปล่าบนพื้นหญ้าเพื่อปลดปล่อยพลังลบลงสู่พื้นดิน นอกจากนี้เราก็จองคลาส Duo Stretch เป็นการจับคู่ฝึกท่ายืดกล้ามเนื้อให้กันและกัน และพอยืดเสร็จก็ปั่นจักรยานไปออกกำลังต่อที่ยิมที่อยู่ไม่ห่างกันได้สะดวกเลยครับ
ใช่แล้วครับ ในรีสอร์ทมีจักรยานให้ยืมด้วย ซึ่งเราเอ็นจอยมากๆ เราปั่นจากฝั่ง Veya เข้าไปในเขต Banyan Tree ใหญ่ซึ่งบริเวณกว้างขวางและร่มรื่นมากๆครับ หนึ่งในไฮไลท์ของอาณาจักร Laguna ก็คือลากูนน้อยใหญ่ที่เชื่อมต่อทะลุกันได้หมด ซึ่งแท้ที่จริงบึงน้ำเหล่านี้นั้นเป็นร่องรอยประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในอดีตของภูเก็ต การปั่นจักรยานนอกจากจะได้เหงื่อแล้ว ยังได้เสพบรรยากาศที่สวยงามชวนให้สบายใจด้วย และถ้าอยากออกไปทะเล ก็ฝากจักรยานไว้กับพี่ยามตรงทางออก แล้วก็เดินพุ่งตัวไปปร๊าดเดียวก็ถึงเลยครับ ทางรีสอร์ทมีเตียงชายหาดเตรียมไว้ให้พร้อมอยู่แล้วด้วยครับ สะดวกมากๆ
แต่ถ้าหากอยากจะออกไปไกลกันกว่านั้น ที่วงเวียนต้นไทรหน้าล็อบบี้ก็มีสกู๊ตเตอร์ให้บริการผ่านแอ๊ป Beam ให้เช่าได้ด้วย ขี่ง่ายและสนุกมากครับ เราเช่าสกู๊ตเตอร์ขี่บรื้นๆกันออกไปด้านหน้า Laguna ซึ่งเรียงรายไปด้วยร้านรวงน่ารักๆหลายร้านดูดีมีชีวิตชีวามาก เริ่มตั้งแต่บริเวณ Boat Avenue ไปจนถึง Porto De Phuket ที่เลยไปอีกนิด ร้านอาหารก็มีให้เลือกหลากหลายสัญชาติเลย แถวนี้มีจุดจอดสกู๊ตเตอร์ไว้ให้บริการหลายจุดครับ อยากจะหยุดเดินเล่น หรือแวะร้านไหนก็ไม่ต้องห่วงเลย
อีกกิจกรรมที่ถือเป็น Destination Dining ที่ Banyan Tree ก็คือการล่องเรือทานดินเนอร์ชมพระอาทิตย์ตกในลากูน หรือ Sundowner Cruise โดยทางรีสอร์ทมีเรือโบราณนามว่า Sanya Rak เตรียมไว้ให้บริการ ตามปกติแล้วจะล่องเรือพร้อมกับเสิร์ฟดินเนอร์ไปจนค่ำ แต่ช่วงนี้ฝนตกน้ำขึ้นทำให้ไม่สามารถลอดใต้สะพานบางช่วงได้ และเราเองก็มีนัดรับประทานอาหารไทยที่ห้องอาหาร Saffron อันเลื่องชื่อต่อจากนี้ด้วย ก็เลยขอแค่นั่งชมวิวและเอ็นจอยอาหารเรียกน้ำย่อยเบาๆแทน ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่เพลิดเพลินและสวยงามมากๆครับ
Banyan Tree Spa
สิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดอย่างหนึ่งของ Banyan Tree ก็คือสปาครับ ที่นี่มี Academy ฝึกสอนกันจริงจัง ไม่ว่าเราจะไป Banyan Tree สาขาไหนในโลกก็จะมีเทคนิคการนวดเดียวกัน โด่งดังกันถึงขั้นที่ว่าแบรนด์โรงแรม 5 ดาวอื่นๆบางแบรนด์ก็ยังเลือกให้ทีม Banyan Tree มาช่วยฝึกสอนการนวดให้เลย พูดกันถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ไปนวดคงจะเสียใจมาก แม้ตารางเราค่อนข้างแน่นเอี้ยด แต่ 90 นาทีนี้ไม่มีไม่ได้ครับ ฮ่าๆๆ เมนูสปาที่นี่หลากหลายและครีเอทีฟมาก แต่วันนี้เราขอ Back To Basics กันดีกว่า คุณเฟิร์สเลือกนวดไทยแบบราชสำนัก ส่วนคุณเค้กก็เลือกนวดน้ำมัน Deep Tissue สบายมากจริงๆครับ อยากให้เทคโนโลยีสามารถบันทึกความสบายมาฝากกันได้จัง
Checking Out
รู้ตัวอีกทีก็ใกล้เวลาต้องกลับบ้านแล้ว ในวันสุดท้ายทางรีสอร์ทนัดให้เราพบผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งเพื่อรับ Feedback ว่าประสบการณ์การเข้าพักของเราเป็นยังไงบ้าง และช่วยให้เราได้ทบทวนถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สำหรับเราแล้วเราก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเราอ่อนแอเรื่องการครองสติให้อยู่กับร่างกาย และได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆที่จะช่วยให้การนอนของเราดีขึ้น จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่าจะเลือกเอาอะไรไปปรับใช้บ้าง
จริงๆแล้วมีอีก 1 คลาสเล็กๆที่เราลงไว้ แต่ตั้งใจจะเก็บไว้ทำก่อนเช็คเอ้าท์จะได้เอาผลงานเป็นที่ระลึกกลับบ้านไปด้วย นั่นก็คือ Herbal Potpourri Making หรือคลาสทำเครื่องหอมบุหงารำไปจากสมุนไพรนั่นเอง เป็นกิจกรรมที่ทั้งง่ายและสนุก เราสามารถเลือกผสมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยได้เอง ทำเสร็จแล้วก็หน้าตาดีแถมมีประโยชน์เอาไปใช้ต่อที่บ้านได้ด้วย
ก่อนออกจากรีสอร์ท พนักงานได้ยื่น Folder เล็กๆให้พร้อมข้อความพลังบวกที่เป็น Take-Home Wellbeing Guide ให้เราได้เอาไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ใส่ใจทุกขั้นตอนจริงๆครับ
Wrapping Up Our Stay
3 วัน 2 คืนที่ผ่านมา เรารู้สึกว่าได้ทำอะไรไปเยอะมากครับ กิจกรรมแน่นเอี้ยด แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเครียดหรือความเร่งรีบเลย ที่นี่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการพักผ่อนและดูแลสุขภาพไปด้วยพร้อมๆกัน เสน่ห์ของ Veya อยู่ตรงที่แขกแต่ละคนสามารถเลือกกิจกรรมตามระดับความจริงจังได้ด้วยตัวเอง หรืออยากจะใช้เวลาอยู่ใน Villa ทั้งวันก็ได้เช่นกัน ทำให้สามารถตอบทุกโจทย์ได้แม้มาด้วยกันหลายคน ถือเป็นคอนเส็ปต์การพักผ่อนแบบใหม่ที่น่าสนใจเข้ากับวิถีชีวิตยุคใหม่มากครับ
สำหรับเราแล้วการเข้าพักที่ Veya ครั้งนี้นั้นเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างแปลกใหม่ในดีกรีที่กำลังพอดี เราใช้เวลาใน Villa อย่างคุ้มค่า กิจกรรมต่างๆก็สนุกและมีประโยชน์มาก อาหารก็ดีงาม และบริการก็ยอดเยี่ยมมากครับ อยากให้มาลองเข้าพักกันสักครั้ง แล้วเพื่อนๆจะอยากกลับมา “ถักทอ” และ “สานต่อ” คุณภาพชีวิตให้ยิ่งดีขึ้นไปอีกเรื่อยๆครับ
สนใจสอบถามโทร 076 372 400
Line: @BanyanTreePhuket
Email: phuket@banyantree.com
Comments