เทวาศรม ผ่อนคลายทั้งกายใจในอาศรมแห่งทวยเทพ
คงมีผู้วิเศษบางคนมาร่ายมนตร์ไว้แถวนี้แน่ๆ เพราะตั้งแต่เราเลี้ยวรถเข้ามายังรีสอร์ทหรูแห่งนี้ก็เหมือนกับว่าเราหลุดเข้ามายังอีกมิติหนึ่งที่ดูขลังแปลกตาและงดงามไปเสียทุกมุม ที่นี่ไม่เหมือนที่พัก 5 ดาวไหนๆเลย แต่ดูเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่หายสาบสูญไป และบัดนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือน คราวนี้มาพร้อมกับโปรโมชั่นที่ยากจะปฏิเสธซะด้วยสิ!!
THE ARRIVAL การมาถึง
เรารับรถเช่าที่สนามบินภูเก็ตตอนเกือบเที่ยงในราคาที่ถูกจนน่าตกใจ เราดีใจที่ได้อุดหนุนธุรกิจท้องถิ่นในยามยากลำบากเช่นนี้ ดูจาก Google Maps น่าจะใช้เวลาไม่เกินชั่วโมงครึ่งก็ขับถึงเทวาศรมแล้ว แต่นักกระโดดโลดเที่ยวอย่างเราย่อมอดไม่ได้ที่จะแวะกิน-แวะเที่ยว-เยี่ยมคาเฟ่ระหว่างทางไปเรื่อยๆ กว่าจะมาถึงรีสอร์ทก็ปาเข้าไปบ่าย 3 กว่าๆแน่ะ
เรายังจำ Moment ที่เรามาถึงที่นี่ได้ดี แดดยามบ่ายกำลังทำมุมทแยงลอดช่องกระจกลายตารางบนบานประตูขนาดมหึมา แสงเงาตกกระทบเข้ามาต้อนรับเราอย่างอบอุ่นถึงล็อบบี้ ทุกอย่างช่างดูสวยงามละเมียดละไม ทั้งวิวลากูนธรรมชาติที่ไหลออกสู่ทะเลเบื้องหน้า รวมไปถึงอิฐหินดินไม้ที่ถูกมนุษย์ออกแบบมาให้โอบล้อมตัวเราด้วยความทะนุถนอมในโถงนั้น ต่างก็ช่วยกันกระซิบบอกเราว่า เราได้มาถึงแล้ว เทวาศรม...รีสอร์ทที่งดงามราวกับที่พักพิงของเหล่าเทวดาแห่งเขาหลัก
คุณแจ็คกี้ Host ของเราพาเราเดินผ่านร้านขายของแต่งบ้านที่ดูมีความ Antique ตามสไตล์เทวาศรมซึ่งคัดสรรมาอย่างดี จนมาเจอกับฆ้องใบใหญ่ เราตีฆ้องให้เสียงก้องกังวานไกลเพื่อเป็นสัญลักษณ์บอกกล่าวถึงการมาถึง ก่อนจะก้าวผ่าน Devasom Gate ประตูไม้สักเก่าแก่ขนาดมโหฬารที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประตูวังในรัฐกลางทะเลทรายแห่งหนึ่งในประเทศอินเดีย เบื้องหน้านั้นเป็นอุโมงค์อิฐที่พาเราเข้าสู่โซนชั้นในของรีสอร์ท ให้ความรู้สึกเหมือนกับเรากำลังเดินผ่านอุโมงค์ย้อนเวลาไปสู่ใจกลางของอารยธรรมโบราณแห่งนี้
กว่าจะมาเป็น Devasom เขาหลัก
จากเทวาศรมแห่งแรกที่หัวหินซึ่งสร้างชื่อมานานกว่า 10 ปี สู่เทวาศรมแห่งที่ 2 ซึ่งถูกเนรมิตขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีก่อนบนพื้นที่ถึง 18 ไร่ริมหาดทรายและลากูนที่สวยซึ้งตรึงใจ ณ เขาหลัก เนื้อที่เยอะขนาดนี้แต่มีห้องพักเพียง 69 ยูนิตเท่านั้น บอกได้เลยว่าสเปซล้นเหลือมากๆ ความขลังของที่นี่นั้นมาจากแรงบันดาลใจที่ต้องย้อนเวลากลับไปถึงยุคเส้นทางสายไหมทางทะเลเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วเลยทีเดียว บรรยากาศที่นี่จึงแตกต่างจากรีสอร์ททั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
เอกลักษณ์ของเทวาศรมเขาหลักนี้ตั้งอยู่บนจุดกลมกล่อมในการผสมผสานความรุ่มรวยแห่งอารยธรรมโบราณของตะกั่วป่า จินตนาการของผู้ออกแบบ กับความเรียบง่ายสะดวกสบายแห่งปัจจุบันสมัย ออกมาเป็นสถานที่ที่ให้อารมณ์ที่นุ่มนวล เป็นมิตร และวิลิศมาหราในสัดส่วนที่พอดิบพอดี อาจจะมีการโปรยปราย Magic เพิ่มลงไปอีกนิดหน่อย
ที่น่าทึ่งก็คือพนักงานได้กระซิบบอกเราว่าทั้งหมดนี้ดูแลการออกแบบโดยคุณอิศร์ เจ้าของเทวาศรมเอง และบางจุดก็ต้องสร้างแล้วทุบแล้วสร้างใหม่หลายครั้งกว่าจะออกมาเป็นหน้าตาแบบที่เราเห็น ฟังแล้วนึกถึงตอนที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สร้างพระราชวังแวร์ซายเลยแฮะ
Understated Luxury
ในจำนวน 69 ห้องพักของเทวาศรมนั้น แบ่ง Room Types ได้เป็นหลายแบบเลย ทั้งแบบที่เป็นห้องและเป็นวิลล่า ทุกแบบนั้นเรียบหรูแบบ Understated ไม่โฉ่งฉ่าง เพื่อส่งมอบความสบายและเป็นความส่วนตัวให้กับลูกค้า ทุกแบบจึงมีสเปซที่กว้างขวาง เริ่มต้นที่ 54 ตร.ม.ไปจนถึง 430 ตร.ม.ที่มาพร้อมกับสระว่ายน้ำส่วนตัวยาว 17 เมตรเลยทีเดียว ในช่วงที่เราเข้าพักนั้นมีห้อง 3 แบบที่ยังพอว่างให้เราเข้าไปเก็บภาพมาอวดเพื่อนๆกัน
Seaside Pool Paradise Suite
ห้อง Type นี้อยู่ชั้นล่างติดกับผืนดินและผืนน้ำ เข้ามาครั้งแรกรู้สึกว้าวกับ Floor Plan และการตกแต่งห้องมากๆ แบ่งเป็น 4 โซนหลักที่เปิดทะลุถึงกันได้หมด เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา ทางซ้ายมือจะเป็นโซนลิฟวิ่งที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันไม่ว่าจะเป็น โซฟา ทีวี ตู้เย็น มุมเครื่องดื่ม ลำโพงบลูทูธของ BOSE ฯลฯ เราใช้เวลาที่มุมนี้เยอะมากๆ เพราะสบายจริงๆ จะให้นอนบนโซฟาก็คงไม่ติด 5555
ฝั่งตรงข้ามเป็นโซนห้องน้ำที่ใหญ่โตโอ่อ่า สามารถเดินทะลุออกไปยัง Private Marble Pool ที่อยู่ในโซนระเบียงด้านนอกได้เลย เผื่อว่าเราออกไปเดินเล่นแล้วมีทรายติดเนื้อตัวมา ก็สามารถอาบน้ำล้างออกได้โดยไม่ต้องเดินผ่านโซนอื่นๆในห้องให้เลอะเทอะ
มาถึงโซนห้องนอนพร้อมเตียง King Size เปิดม่านไปพบกับระเบียงสระส่วนตัวและวิวของลากูนที่ไหลลงทะเลอันดามัน ความว้าวคือมีอ่างอาบน้ำทรงสวยตั้งอยู่ข้างๆเตียงเลย ทำให้โซนนี้มีความ intimate มากกว่าห้องนอนปกติทั่วไปอีก 2.63 เท่าตัว (อันนี้เรากะแบบมั่วๆเองครับ 555) อย่างที่บอกว่าเลย์เอ้าท์ห้องแต่ละ Type นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ เราสัมผัสได้ถึงความใส่ใจในรายละเอียดการออกแบบได้ในทันที
Seaside Junior Suite with Jacuzzi
อย่าให้คำว่าจูเนียร์ทำให้คุณคิดว่าห้องประเภทนี้เป็นห้องระดับรอง แม้ขนาดห้องจะเล็กกว่า แต่ลองดู Jacuzzi ที่ระเบียงนั่นเป็นไร ด้วยความที่อยู่ชั้นบนวิวจึงแกรนด์กว่าชั้นล่างเล็กน้อย เห็นทั้งคลองและชายหาด อารมณ์ความหรูหราก็ไม่ได้ด้อยลงไปกว่าห้อง Type อื่นเลย รู้สึกมั้ยว่านอนที่เทวาศรมแล้วเหมือนเราเป็นแขกของพระราชาในนิทานยังไงก็ไม่รู้
Beachfront Pool Villa
ยกระดับความเป็นส่วนตัวขึ้นอีกนิดด้วยวิลล่าพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวที่มองออกไปเห็นวิวหน้าหาดได้เลย โซนลิฟวิ่งที่นี่เป็นเรือนเล็กๆแยกออกไปจากห้องนอนและห้องน้ำให้ความรู้สึก Exclusive มากยิ่งขึ้น เราสามารถนั่งๆนอนๆ อ่านหนังสือ ทำงาน ประชุมผ่าน Zoom อ้อยอิ่งอยู่ในวิลล่าของเราได้ทั้งวัน เบื่อๆก็แช่น้ำฮัมเพลงท่ามกลางความหรูหราใต้เงาต้นมะพร้าว หรือถ้าหิวก็เดินไปหาอะไรอร่อยๆกินได้ที่ Devasom Beach Grill แค่เพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว
Instagrammable Everywhere
สิ่งที่อาณาจักรสีงาช้างอมเทาแห่งนี้ไม่ขาดแคลนเลย ก็คืองานดีไซน์และความสวยงามของอาคารหลากรูปทรง รวมไปถึงทางเดินที่ทอดยาวท่ามกลางความเขียวขจีของต้นไม้ทรอปิคอลนานาชนิด ยืนหนึ่งเรื่องความโฟโต้เจนิค แชะมุมไหนดีมุมนั้น แม้ว่าทางพนักงานจะบอกเราว่าอยากให้แขกมาพักผ่อนมากกว่ามาถ่ายรูป แต่มันก็อดใจยากเหลือเกิน คำถามจึงไม่ใช่ว่ามีมุมไหนให้ถ่ายรูปบ้าง แต่คือจะทำยังไงให้หักห้ามใจหาจังหวะถ่ายรูปแต่พองาม เพราะเราก็ต้องให้เกียรติความเป็นส่วนตัวของแขกคนอื่นๆด้วยเช่นกัน
นอกจากห้องพัก ห้องอาหาร สระน้ำและหาดทรายซึ่งเป็นจุดยอดนิยมแล้ว ที่นี่ยังมีห้องสมุด ห้อง Fitness ห้องดูแลเด็ก หอดูวิวและสปาด้วย ทั้งยังมีจุดบริการกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายเพื่อเติมเต็ม Devasom Experience ให้กับลูกค้า
Layout ของเทวาศรมจึงมีไดนามิค หลายมุม หลากอารมณ์ หากมองจากมุมนกแล้วจะเห็นว่าที่นี่มีการจัดวางอาคารที่ดูแกรนด์ราวกับเป็นพระราชวังในยุคโบราณจริงๆ
3 จุดถ่ายรูป ICONIC
1. ช่องตึกที่มีหน้าตาเหมือนซุ้มประตูรูปทรงแปลกตาด้านบนสุดของบันไดใกล้สปา ตรงนี้เรามักจะเห็นใครๆก็ชอบไปเล็งหามุมเท่ๆถ่ายรูปกัน
2. กำแพงขั้นบันไดบริเวณสระว่ายน้ำหลักของรีสอร์ท โดยเฉพาะในช่วงบ่ายๆเย็นๆจะมีเงาต้นมะพร้าวทอดลงมาทาบพอดิบพอดี เป็นดั่ง Invitation ให้หลายคนต่อคิวกันปีนขึ้นไปโพสท่าสวยๆเป็นที่ระลึกกันไม่ขาดสาย
3. ลากูนทาวเวอร์ (หวังว่าเราจะจำชื่อไม่ผิดนะครับ 555) หอคอยที่อยู่ถัดจากกำแพงขั้นบันไดขึ้นไปนั้นเป็นจุดชมวิวที่สวยหยด มองเห็นทั้งฝั่งคลอง (ลากูน) และทะเล โดยเฉพาะช่วงตะวันใกล้ตกดินนั้นแสงสวยงดงามจับใจมากครับ
ทุกที่ที่เราเดินผ่านในโรงแรมสามารถถ่ายรูปได้ออกมาสวยหมดเลย
โน้ตเอาไว้เลยว่า ตกเย็นเมื่อไหร่ให้ไปที่ชายหาด
เอ...ที่จริงไม่ต้องโน้ตก็ได้นะครับ เพราะฟ้าทั้งผืนจะโดนแสงตะวันที่กำลังจะจมอันดามันเคลือบให้เป็นสีทองเหลือบฟ้า-ส้ม-ชมพู ซึ่งจะมีพลังดึงดูดทุกคนให้มารวมตัวกันที่หน้าหาดโดยไม่ได้นัดหมายอยู่แล้ว สวยหยาดเยิ้มเหมือนมีใครเอาน้ำผึ้งมาราดฉาบฟิลเตอร์ไว้ ทุกอย่างใน Scene จะอร่ามไปด้วยแสงสีทอง ยิ่งมีฉากหลังเป็นอาคารสวยๆของเทวาศรมแล้ว ยิ่งทำให้ภาพถ่ายดูแพงยิ่งขึ้นไปอีก
Lagoon Tower เป็นอีกจุดที่เราแนะนำให้ขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ตก
คอนเฟิร์มว่าสวยจับใจจริงๆ สีทองเหลือบชมพูของท้องฟ้าเหนือทะเลอันดามันที่เป็นฉากหลังให้กับอาคาร Devasom Beach Grill และสระว่ายน้ำนั้นจะอยู่ในความทรงจำเราไปอีกนานแสนนาน
รับประทานมื้อเย็นกันที่ห้องอาหาร Takola All Day Dining
"ตะโกลา" คือชื่อดั้งเดิมของ "ตะกั่วป่า" เมืองท่าสำคัญตั้งแต่โบราณกาลซึ่งปัจจุบันก็คือชุมชนที่เป็นที่ตั้งรีสอร์ทแห่งนี้นั่นเอง ที่นี่เสิร์ฟอาหารพื้นบ้านที่ปรุงด้วยรสมือพิถีพิถันจนได้รางวัล Bib Gourmand จาก Michelin มาแล้ว เราจึงถือโอกาสไปเปิบพิศดารกับเมนูแนะนำของทางห้องอาหาร บอกเลยอร่อยจนพุงกาง ยิ่งได้นั่งทานในบรรยากาศที่ตกแต่งสวยงามแบบนี้ก็ยิ่งทำให้อัพเลเวลความดีงามขึ้นไปอีก
และนี่ก็คือเมนูทั้งหมดที่เราได้ลิ้มลองนะครับ เริ่มตั้งแต่แกงปูใบชะพลูเสิร์ฟพร้อมหมี่หุ้น (รสชาตินัวกลมกล่อมมากๆ ปูก็สดหวานมากเช่นกัน) น้ำพริกตะโกลา หรือน้ำชุบหยำปักษ์ใต้เสิร์ฟพร้อมกับเครื่องเคียงครบเซ็ต (จัดจ้าน กลิ่นกะปิหอมเตะจมูกเลย กุ้งเสียบที่โรยมาก็กรอบอร่อยจริงๆ) แกงเหลืองปลากะพง (เผ็ดร้อนถึงเครื่องแบบไม่หวงภาพรีสอร์ทหรูเลย) หมูฮ้อง (เปื่อยนุ่มหอมเครื่องเทศหวานเค็มพอดี รู้ตัวอีกทีก็ลืมอ้วนไปแล้ว) กุ้งผัดกะปิ (กุ้งแชบ๊วยนุ่มเด้งผัดกับกะปิพังงาฮ๊อมมม..หอม แถมยังใส่ยอดมะพร้าวอ่อนและต้นกระเทียมลงไปผัดด้วยกันอีก) กับข้าวทั้งหมดถูกทำให้เลิศรสขึ้นไปอีกเมื่อทานคู่กับ "ข้าวดอกข่า" ข้าวพันธุ์พื้นเมืองเฉพาะถิ่นพังงา
ปิดท้ายด้วยของหวานคลาสสิคอย่างบัวลอย 5 สีธรรมชาติจากฟักทอง อัญชัน มันม่วง ใบเตย และแครอท โดดเด่นด้วยกะทิคั้นสด หอมหวานมันถึงใจสุดๆ รสชาติแตกต่างจากกะทิกล่องที่ชาวกรุงคุ้นเคยแบบคนละ League เลย
ลงสระ-แช่อ่างก่อนนอน
ด้วยความอิ่ม (และอืด) จากดินเนอร์รสจัดจ้านสำรับพื้นบ้านที่การันตีด้วย Michelin พอถึงห้อง เราก็แวะเปิดน้ำร้อนเติมลงอ่างในห้องนอนเอาไว้ ก่อนตัดสินใจเปลื้องผ้าลงไปแหวกว่ายในสระหินอ่อนส่วนตัวที่ระเบียงเสียหน่อยเผื่อจะช่วยให้อาหารย่อยได้ดีขึ้นบ้าง และก็ช่วยได้จริงๆด้วยแฮะ น้ำในสระนั้นอุ่นกำลังดี เราจึงว่ายเพลินอยู่พักใหญ่จนหายแน่นพุงเลย
เราโรยเกลือแช่ตัวลงไปในอ่างอาบน้ำ เพื่อคลายความเหนื่อยล้า (จากการ Overindulged มาทั้งวัน... ใช่แล้วครับ เราแก้ปัญหานี้ด้วยการ Indulge ตัวเองทับเข้าไปอีก 555) จากนั้นจึงเติมน้ำมันที่แปรสภาพเป็นน้ำนมลงไปอีกนิดเพื่อบำรุงผิวที่โดนแดดมาทั้งวัน คืนนี้นอนหลับสบายแน่ๆ
Breakfast at Takola
กลับมาที่ห้องอาคาร Takola อีกครั้งในตอนเช้า คราวนี้อารมณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากเดิมเหมือนอยู่คนละที่ จากความ Local ก็กลายเป็นความ Inter มากขึ้นด้วยรายการเบรคฟัสต์ที่มีให้เลือกเยอะมากจนกินไม่หวาดไม่ไหวทั้งคาวหวาน ไม่ว่าจะเป็นเมนูฝรั่ง เอเชีย ขนมจีน ไข่ปรุงหลากหลายแบบ ชีส แฮม เบค่อน ผักสลัด ผลไม้ ซีเรียล มูสลี่ โยเกิร์ต วาฟเฟิ่ล แพนเค้ก ขนมปัง ครัวซองต์ น้ำผลไม้ ชา กาแฟ โกโก้ทั้งร้อนเย็นชงให้ใหม่เลย แถมพนักงานก็เทคแคร์ดีเหลือเกิน ถามตลอดว่าจะเอาอะไรเพิ่มมั้ย เราแอบอยากสั่งกระเพาะเพิ่มอีกซักหนึ่งอันจะได้กินได้ครบทุกอย่าง