top of page
รูปภาพนักเขียนhoparound.co

The Sukhothai Bangkok เดอะสุโขทัยกรุงเทพฯ สุขละเมียดดุจเวลาอรุณรุ่ง

อัปเดตเมื่อ 1 ต.ค.


แฟชั่นกูรูชาวฝรั่งเศสท่านหนึ่งเคยบอกกับเราว่าความหรูหราที่แท้จริงนั้นไม่ควรทำให้เรารู้สึกว่าต้องพยายามใดๆ "True luxury should be effortless" เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็คือความสุนทรีย์ในคุณภาพชีวิตที่ลงตัว จู่ๆคำกล่าวนี้ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของเราเมื่อตอนที่ได้ไปพักผ่อนที่ The Sukhothai Bangkok เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน และตลอด 30 ปีที่ผ่านมา โรงแรมหรูไพรเวทแบรนด์แห่งนี้ก็ได้ส่งมอบความลักชัวรี่ที่รุ่มรวยสวยสง่าอย่างไทยและสร้างความประทับใจให้กับแขกเหรื่อระดับโลกมาแล้วนับไม่ถ้วน


เราเข้าพักในช่วงที่ Main Wing ของโรมแรมซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์กลางน้ำ 5 องค์ Icon สำคัญของ The Sukhothai กำลังปิดปรับปรุงพอดี แต่ความโชคดีก็คือเราได้ห้องพัก Club Suite ที่ทั้งสวยทั้งใหม่และใหญ่มากๆ (ขนาด 93 ตร.ม.) ในตึก Club Wing ที่เพิ่ง Renovated เสร็จไปเมื่อปลายปี 2018 ก่อนสถานการณ์โควิดพอดี ที่สำคัญและพิเศษที่สุดก็คือการตกแต่งใหม่ทั้งหมดของอาคาร Club Wing นี้เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่ได้ฝากโลกเอาไว้ของ Ed Tuttle สถาปนิกชาว Seattle ระดับตำนาน ผู้อยู่ในลิสต์ท็อป 1 ใน 100 ของโลกที่จัดโดย Architectural Digest ก่อนที่เขาจะจากไปด้วยโรคเนื้องอกในสมองเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมาอย่างน่าเสียดาย เขาได้ฝากผลงานโรงแรม Ultra Luxury อื่นๆไว้มากมายทั่วโลก โดยเฉพาะรีสอร์ทในเครือ Aman และโรงแรม Park Hyatt






The Arrival

จากถนนสาทรที่คราคร่ำไปด้วยการจราจรอันวุ่นวาย เราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่บรรยากาศเงียบสงบร่มรื่นของโรงแรม อาคารทรงไทยประยุกต์หลังเตี้ยๆทยอยปรากฏกายให้เห็น ตัดกันกับตึกสูงระฟ้าย่านสาทรที่ห้อมล้อมอยู่รอบนอกโรงแรม เราเทียบรถที่หน้าอาคาร Club Wing ให้ Porter ช่วยลำเลียงสัมภาระลง ก่อนเจ้าหน้าที่จะเสนอตัวนำรถไปจอดให้ เมื่อก้าวเท้าเข้าด้านในก็พบกับ Conceirge ที่รอให้การต้อนรับเราด้วยแววตาที่ยิ้มละมุน (เราได้เห็นแค่แววตาเพราะเราต่างก็ใส่แมสก์ปิดปากกันอยู่) พี่ตุ้ม Conceirge รุ่นซุปเปอร์ซีเนียร์ของโรงแรมผู้ทำงานที่นี่มาตั้งแต่ลงเสาเข็มก็ได้เข้ามาทักทายดูแล และพาเราไปเช็คอินที่ Lobby บนชั้น 6 ชั้นเดียวกับที่ตั้ง Club Lounge สุด Exclusive ของ The Sukhothai เลยครับ

คุณอีฟ Receptionist คนเก่งรับช่วงต่อจากพี่ตุ้มทำการเช็คอินให้เราด้วยความราบรื่นและรวดเร็ว จากนั้นคุณเมี้ยว ไดเร็คเตอร์ฝ่ายมาร์เก็ตติ้งก็ให้เกียรติมาต้อนรับเราด้วยตัวเองเลย ต้องขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ ประทับใจมากเลยครับ เสน่ห์ของการเป็นโรงแรม Private Brand ที่ไม่ใช่แฟรนไชส์เหมือนโรงแรมส่วนใหญ่ ก็คือการดูแลแขกด้วย Personal Touch ที่ใกล้ชิดเป็นกันเอง ไมตรีระหว่างมนุษย์นั้นช่วยลดความเหินห่างที่มักจะมาพร้อมกับความหรูหราได้ดีจริงๆครับ


หลังจากนั้นคุณอีฟก็นำทางพาเราขึ้นลิฟท์ไปยังห้องพักบนชั้น 7 เพื่อแนะนำส่วนต่างๆของห้อง เราจะได้ใช้สอยพื้นที่ห้องพักได้อย่างทั่วถึงและคุ้มค่าที่สุด

Our Room : The Club Suite

ทันทีที่เปิดประตูห้องพักหมายเลข 796 เข้าไป กลิ่นอายงานออกแบบของคุณ Ed Tuttle ก็ฟุ้งกระจายอยู่ในทุกอณูของความหรูหรา (ทว่าผ่อนคลาย) การผสมผสานวัสดุไม้เขตร้อน กระจก หินและโลหะนั้นถือเป็น Signature ของเขา แต่ความพิเศษของ The Sukhothai นั้นคืองานดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะยุคสุโขทัยอันรุ่งโรจน์สง่างามเน้นความสมมาตร เราสังเกตเห็นขาโต๊ะและเชิงโคมไฟที่ถูกดีไซน์ให้มีลักษณะเป็น Pattern เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆคล้ายกับการย่อมุมของเจดีย์


ความอบอุ่นของไม้สักและผนังบุวอลล์เปเปอร์ไหมของ Jim Thompson นั้นให้ความรู้สึกถึงความเป็นอยู่ที่ละเมียดละไมเสียเหลือเกิน ทั้งหมดนี้สอดประสานอย่างลงตัวกับเทคโนโลยีล้ำยุคที่ถูกจัดสรรให้เอาไว้เพื่อความสะดวกสบายภายในห้อง รวมไปถึงงานออกแบบงานหินในห้อง Shower จาก Versace และ Amenities จาก Bottega Venetta ซึ่งเดี๋ยวเราจะค่อยๆพาไปชมนะครับ

ภายใน Club Suite ซึ่งมีพื้นที่กว่า 93 ตร.ม.นั้น อาจแบ่งได้เป็น 5 โซนใหญ่ๆที่ไหลต่อเนื่องกัน เริ่มต้นจาก Dining Area พร้อมมินิบาร์ อุปกรณ์ชงชากาแฟ แถมผลไม้และช็อคโกแลตของไทยที่ได้รางวัลการันตีซะด้วย โซนนี้เราสามารถใช้ได้ทั้งรับประทานอาหาร และต้อนรับแขกเพราะมีห้องน้ำแยกต่างหากให้อีก 1 ห้องเลย


โซนต่อมาก็คือ Living Area ที่มีแผง Partition ฝัง TV ขนาด 55" กั้นแบ่งเอาไว้ แผงนี้หมุนได้เกือบรอบตัว ซึ่งมีประโยชน์มาก เราสามารถหมุนไปมาเพื่อดู TV ได้ทั้งจากโซน Dining และ Living


แน่นอนว่าในโซน Living ต้องมีโซฟา และชุดรับแขกที่นี่ก็ใหญ่บึ้มสะใจมากๆ เรานั่งๆนอนๆอยู่ได้ทั้งวันเลยล่ะ (บางช่วงเกือบผล็อยหลับไปก็มี) แถมยังมีมุมนั่งทำงานให้ด้วย เบื่อๆก็สามารถเดินไปชมวิวที่ Exclusive มากๆของกรุงเทพฯผ่านบานกระจกสูงจากพื้นจรดเพดาน เพราะนอกจากจะมองเห็นสระว่ายน้ำสีเขียวลึกลับที่เป็นอีกหนึ่ง Icon ของโรงแรมแล้ว เรายังจะได้เห็นต้นไม้เขียวขจีสลับกับหลังคาบ้านท่านทูตจากประเทศต่างๆเป็น Foreground ให้กับบรรดาตึกสูงเสียดฟ้าที่อยู่ไกลออกไป กรุงเทพฯของเรานี่มีหลายเลเยอร์เหมือนกันเนอะ

แมสก์กับสเปรย์แอลกอฮอลล์สกรีนโลโก้ The Sukhothai ก็มีเตรียมไว้ในห้องให้เราหยิบไปใช้ได้ด้วยนะครับ

ห้องนอน

โซนที่ 3 ก็คือห้องนอนสุดหรูพร้อมเตียง King Size และเครื่องนอนผ้าคอตต้อน 300 เส้นที่นุ่มเนียนไม่มีสะดุด ตรงหัวเตียงนั้นมีจอ Touch Screen สุดทันสมัยสำหรับควบคุมระบบไฟและเครื่องปรับอากาศในห้องได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ยังมี Armchair และ Bedroom Bench เอาไว้ให้เราเอนกายพักผ่อนโดยไม่ต้องขึ้นเตียงด้วย เกือบลืมบอกไปว่าในโซนนี้ก็มี TV จอใหญ่ให้อีกเครื่องด้วยนะ แต่เราไม่ใช่สาย TV ก็เลยไม่ได้เปิดใช้งานเลย

ห้องแต่งตัว

ถัดมาคือโซน Dressing Area ที่มีลักษณะเป็น Walk-In Closet ที่เราชอบมากๆ โดยเฉพาะลิ้นชักเก็บรองเท้า ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่มักปรากฏอยู่ในงานของ Ed Tuttle (เราจำฟังก์ชั่นนี้ได้จากตอนไปพักที่ AMANPURI) นอกจากราวแขวนเสื้อผ้า และที่วางกระเป๋าเดินทางแล้ว ในโซนนี้ยังมีตู้นิรภัย ถุง Laundry กระเป๋า Tote Bag สำหรับใส่ของระหว่างออกไปใช้บริการในโซนต่างๆของในโรงแรม รวมไปถึงรองเท้าแตะสำหรับทั้งภายในและภายนอกห้อง อ้อ! เราขอชื่นชมความหนานุ่มเป็นพิเศษของเสื้อคลุมอาบน้ำจาก La Bottega ที่ทางโรงแรมแขวนเตรียมไว้ให้ด้วยครับ นุ่มสบายผิวมากเลยครับ

ห้องน้ำ

โซนสุดท้ายที่ดูเหมือนจะเป็นไฮไลท์ของห้องก็คือห้องน้ำ เพราะสวยหมดจดจริงๆ โดดเด่นด้วยงานหิน งานไม้ และที่สำคัญคืองานกระจกที่ช่วยสร้างภาพสะท้อน จนเกิด Visual Effect ที่งดงามราวกับเราได้เดินเข้าไปในกล้อง Kaleidoscope ยังไงยังงั้นเลย จุดรวมสายตาของโซนนี้นั้นคงหนีไม่พ้นอ่างอาบน้ำสุดหรูพร้อมหัวเจ็ทจากุซซี่ แต่ดีเทลอื่นๆนั้นก็ชวนให้ Wow ไม่แพ้กัน


เริ่มกันที่ชักโครกไฮเทคสไตล์ญี่ปุ่นในห้องผนังกรุไม้ซึ่งให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นหนึ่งเดียว อย่างที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่างานหินในห้องชาวเว่อร์นั้นก็ออกแบบโดย Versace เครื่องอาบน้ำตั้งแต่สบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผม ไปจนถึงสบู่ก้อนสำหรับล้างมือ และโลชั่นทาผิวนั้นก็เป็นผลิตภัณฑ์ของ Bottega Venetta ที่เลิศหรูอย่าบอกใคร ส่วนไดร์เป่าผมนั้นก็คงจะเป็นแบรนด์ใดไปไม่ได้ นอกจาก Dyson


พาทัวร์ห้องพักแบบย่อๆกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ได้เวลาไปเสพความผ่อนคลายในสปาหรูของ The Sukhothai กันต่อได้เลย

นวดผ่อนคลายที่ Spabotanica

เดินจากอาคาร Club Wing เราลัดเลาะผ่านสระว่ายน้ำแล้วตรงมาที่ Spabotanica ของโรงแรม ตกแต่งเรียบง่ายด้วยโทนสีอ่อนสะอาดตา แซมด้วยงานไม้ทำให้ดูอบอุ่นผ่อนคลาย เรานวดคอร์ส The Sukhothai Signature ซึ่งผสมผสานเอาหลายๆเทคนิคการนวดเข้าด้วยกันไว้ในคอร์สเดียวเพื่อความสบายที่สุดของลูกค้า เราคิดว่านี่เป็นวิธีที่เวิร์คมากๆ เพราะหลายครั้งร่างกายอันแสนตึงเครียดของเราก็ต้องการทั้งการนวดแผนไทย อโรม่า สวีดิช รีดเส้น กดจุด ไปใน Session เดียวกันเลย สั้นๆก็คือชอบการนวดแบบรวมเทคนิคแบบนี้มากเลยครับ :-)


หลังจากกรอกแบบฟอร์ม เลือกน้ำหนักมือ และจุดเน้นที่ต้องการแล้ว เราก็ถูกนำทางไปยังห้อง Treatment ที่ดูเรียบง่ายแต่มีรสนิยมเพื่อล้างตัวและเปลี่ยนชุดรอ จากนั้นเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะทันทีที่ฝ่ามือของพี่ๆ Therapists สัมผัสกับผิวของเราและค่อยๆเพิ่มแรงกดรีดไปตามแนวกล้ามเนื้อที่เราไม่รู้ตัวมาก่อนว่าเมื่อย เราก็แทบจำอะไรไม่ได้อีกเลย แบบนี้ใช่ไหมที่เค้าเรียกกันว่า "สบายลืมมมมม" มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่ Therapist บอกให้เราพลิกตัว แต่แล้วความทรงจำของเราก็เริ่มเลือนลางอีกครั้ง จนสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเมื่อการนวดจบลง ถ้าเราไม่มีโปรแกรม Pre-Dinner Cocktail ต่อ ก็อยากจะขอนวดต่อยาวๆอีกซักชั่วโมง


Underground Gัym

ก่อนจะไป Pre-Dinner Cocktail เราขอแวะลงไปสำรวจ Gym ที่อยู่ชั้นใต้ดินกันซักหน่อย เพราะได้ยินกิตติศัพท์มาหนาหู พอมาเห็นของจริงบอกได้คำเดียวว่าเกรียงไกรมากกกก ทั้งขนาดสถานที่ อุปกรณ์ และบริการที่มีให้ล้วนครบครันไปทุกสิ่งยิ่งกว่าฟิตเนสที่เราเคยเป็นสมาชิกอยู่ซะอีก ใครต้องการออกกำลังกายแบบ High-End เป็นมืออาชีพ ในบรรยากาศ Exclusive เราแนะนำให้มาลองดูที่นี่ มีสมัครสมาชิกรายปีด้วยนะ ติดต่อสอบถามที่โรงแรมโดยได้เลยครับ

 
Pre-dinner Cocktail ที่ Club Lounge

อีกหนึ่งสิทธิพิเศษของการนอนห้อง Club Suite คือเราสามารถใช้บริการ Cocktail ก่อนดินเนอร์ที่ Club Lounge ได้แบบสั่งเพิ่มได้ไม่อั้น ซึ่งตอนแรกเราคิดว่าจะมีแค่เพียงเครื่องดื่ม ที่ไหนได้คุณอีฟ Receptionist (ที่มาดูแลเราบ่อยจนเริ่มสนิทสนมกันนั้น) ก็ทยอยนำของว่างจานเล็กๆจานแล้วจานเล่าออกมาเสิร์ฟให้ อร่อยหมดทุกอย่างเลยแฮะ แถมขอเพิ่มได้ตลอด คุณอีฟบอกว่าของว่างเหล่านี้จะมีธีมที่หมุนเวียนไปตามช่วงเวลา อย่างช่วงที่เราไปก็จะเป็นธีม Italian ซึ่งก็เข้ากันกับมื้อค่ำต่อจากนี้ที่ La Scala พอดี โจทย์ที่ยากสำหรับเราก็คือจะแบ่งโควตาพื้นที่ในท้องอย่างไรให้เพียงพอกับความอร่อยทั้งหมดทั้งที่ Lounge และที่ La Scala ร้านอิตาเลียนมากรางวัลแห่ง The Sukhothai ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่นานนี้

 
Dinner at La Scala

ในปี 2018 ร้าน La Scala เป็นร้านอาหารอิตาเลียนเพียงร้านเดียวในประเทศไทยที่ได้รับรางวัล 3 Forks ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดจาก Gambero Rosso Guide ที่ Specialized ในอาหารและไวน์อิตาเลียนโดยเฉพาะ การันตีว่าร้าน La Scala นี้เป็นหนึ่งในร้านอิตาเลียนที่ดีที่สุดที่อยู่นอกประเทศอิตาลี นอกจากนี้ใน Tripadvisor ร้าน La Scala ก็ยังขึ้นแท่นร้านอาหารอิตาเลียนอันดับ 1 จากกว่า 500 ร้านในกรุงเทพฯอีกด้วย


และตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. 2021 นี้ ทางร้านก็จะได้เชฟ Eugenio Cannoni ชาวเมือง Monferro แคว้น Piedmont ทางตอนเหนือของอิตาลี เข้ามาเสริมทัพให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก เชฟหนุ่มแห่งวงการ Haute Cuisine ท่านนี้เคยเป็นเชฟให้กับร้านอาหารประดับดาวมิชลิน และที่ปรึกษาให้กับรายการ TV ทั้งในอิตาลีและอีกหลายประเทศมาก่อน แต่เราเข้าไปรับประทานอาหารก่อนวันที่เมนูของเชฟคนใหม่จะเปิดตัว อาหารทั้งหมดในรูปของเราจึงยังคงเป็นเมนูเดิมของร้านอยู่ ตอนแรกเราก็แอบเสียดาย แต่พอคิดอีกทีคือเราโชคดีมากๆที่จะได้ลิ้มรสทั้งเมนูเก่าในวันนี้ และเมนูใหม่ในโอกาสหน้า ซึ่งเราจะกลับมาอย่างแน่นอน




เริ่มมื้อด้วยคู่คาวหวานคลาสสิคอย่างพาร์มาแฮมแท้ๆและเมล่อนหอมหวาน ช่วยเปิด Palate รับรสให้พร้อมสำหรับมหากาพย์ความอร่อยที่กำลังจะตามมา

Carpaccio Di Capesante หอยเชลล์สดๆสไลซ์บางๆราดด้วย Passion Fruit Dressing ทำให้ได้ความสดชื่นจากทั้งรสเปรี้ยวและหวาน เพิ่มความซับซ้อนอีกนิดด้วยหัวเฟนเนล แอลมอนด์ มะเขือเทศ เนื้อส้ม มินต์ และดิลล์

Zuppa ซุปเห็ด Wild Mushroom และ เห็ดทรัฟเฟิลดำ เข้มข้นกลมกล่อมหอมอร่อย อุ่นๆสบายพุง ทานคู่กับ Mushroom Cracker กรุบกรอบ ดีงามมากครับ


Risotto al Fruitti di Mare ริซ็อตโต้ซีฟู้ดที่ขนมาทั้งทะเล ได้กลิ่นและรสชาติของทะเลที่เข้มข้นชัดเจน เดาเอาเองว่าน่าจะมาจาก Shell Fish Stock ที่ทางเชฟเคี่ยวเพื่อนำมาหุงข้าว Arborio ให้สุกแบบ Al Dente ประทับใจทั้งหน้าตาและรสชาติครับ

Capellini พาสต้าเส้นเล็กปรุงกับเนื้อล็อบสเตอร์และเนื้อปู ปกติทางร้านจะใช้ Blue Lobster แต่วันที่เราไปวัตถุดิบหมดเลยได้เป็น Canadian Lobster แทน สดอร่อย ไม่หักคะแนนใดๆครับ


Agnello เนื้อแกะ Te Mana Lamb จากนิวซีแลนด์ ซึ่งต่างจากเนื้อแกะทั่วไปตรงที่เค้าจะอุดมด้วย Omega-3 และมีไขมันละเอียดแทรกอยู่ในกล้ามเนื้อ เชฟนำมาย่างให้สุกกำลังดี เพิ่มรสด้วยชีส Gorgonzola Dolce ซึ่งเป็นบลูชีสที่เราชอบมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เสิร์ฟคู่กับผักย่างหอมอร่อย รสชาติออกมาลงตัวมากๆและเนื้อแกะก็แทบไม่มีกลิ่นเลย

จานนี้เป็น Ora King Salmon ปลาแซลมอนพันธุ์พิเศษจากนิวซีแลนด์เช่นกัน นำไป Poached ในน้ำชาดอกบัวซึ่งเป็นชา Signature ของโรงแรม เสิร์ฟพร้อมลูกเกด ไพน์นัท Jerusalem Artichoke (แก่นตะวัน) Guava Puree และ Kristal Caviar

จานนี้เป็นเนื้อ Saitama Wagyu ที่นุ่มละลายในปาก ปรุงแบบเรียบง่ายเพื่อให้รสธรรมชาติของเนื้อเปล่งประกาย สารภาพว่าจำไม่ได้ว่าซอสทำจากอะไรบ้าง แต่จำได้ว่าอร่อยมากๆครับ

แอบพลิกมีดไปเจอแบรนด์ Laguiole แบรนด์เครื่อง Cutlery เก่าแก่เกือบ 200 ปีจากฝรั่งเศส หรูหราหมดจดทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ


ได้เวลาของหวานแล้ว เป็น Raspberry Pannacotta ใจจริงเราหมายตา Tiramisu เอาไว้แต่กลัวว่าคาเฟอีนจะรบกวนการนอน เลยเลือกน้องคนนี้มาแทน และก็ไม่ผิดหวังเลยครับ เนียนนุ่มหอมนมตัดด้วยความเปรี้ยวของราสป์เบอร์รี่ลงตัวพอดีเป๊ะ

ส่วนอันนี้เป็นของหวานที่พิเศษมากๆครับ เพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Cocktail คลาสสิคของอิตาลีอย่าง Sgroppino แต่ที่ La Scala นำมาทำเป็นของหวานและทำสดๆให้เราดูที่โต๊ะเลย น้องคนนี้ประกอบไปด้วยเจลาโตวอดก้า โพรเซ็กโก้ และ Limoncello นำมาตีฟองจนเหมือนคาปูชิโน่เลยครับ

Sgroppino ทำเสร็จแล้วก็จะหน้าตาสวยงามแบบนี้ครับ

เขินจังที่จะบอกว่าทั้งหมดนี้ เราทานกันแค่ 2 คนเท่านั้นเอง ^^

 
ขึ้นมาแช่น้ำก่อนนอน

ได้เวลาลงอ่างแล้วววว ต้องผลัดกันแช่นิดนึง สบายแค่ไหนไม่ต้องบรรยายมาก ให้ภาพเล่าเรื่องแล้วกันนะคับ

 
Turndown Service

เตียงนุ่มๆที่เทิร์นดาวน์เรียบร้อยพร้อมให้เราเอาตัวเข้าไปแทรกคุดคู้ได้ตามใจ พร้อมของที่ระลึกก่อนนอนที่ทางพนักงานวางไว้ให้บนเตียง และมีให้เลือกเมนูอาหารเช้าด้วย เมื่อเราติ๊กเสร็จก็นำไปแขวนไว้หน้าประตูได้เลย แต่เราเลือกที่จะไป Order โดยตรงที่ Club Lounge ตอนเช้าเลยดีกว่า เพราะก่อนมามีพรายกระซิบบอกว่าอาหารเช้าที่ Club Lounge ของ The Sukhothai นั้นดีมากๆ พรุ่งนี้เช้าเราไปพิสูจน์กันครับ

 

ตื่นเช้าเริ่มวันใหม่ด้วยการนั่งชิลอ่านหนังสือบนเตียงก่อนจะอาบน้ำลงไปทานมื้อเช้า วันนี้เราเลือกใส่นาฬิกา IWC SCHAFFHAUSEN Pilot's Watch Edition "Le Petit Prince" กันทั้ง 2 คนเลยครับ เรือนแรกเป็น Automatic Chronograph สายหนัง ส่วนอีกเรือนเป็น Mark XVIII สายสแตนเลสครับ ทั้งสองเรือนเป็นนาฬิกาที่ใส่ง่ายได้ทุกวัน โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีน้ำเงินที่เป็นโทนเอกลักษณ์เฉพาะของ IWC สั้นๆก็คือใส่แล้วดูดีมากๆครับ แหะๆ


เราจับคู่นาฬิกากับสร้อยข้อมือหนังสีน้ำตาลจาก Hermès รุ่น Tournis Tresse พร้อมแต้มน้ำหอม Maison Margiela 'REPLICA' กลิ่น Lazy Sunday แบบ Rollerball ที่เราพกติดกระเป๋าเอาไว้ ชื่อกลิ่นนั้น Appropriate กับสถานการณ์มาก เพราะเช้านี้เราถูก Spoiled จนขี้เกียจสุดๆเลย

Breakfast at The Sukhothai

ตั้งแต่เช็คอินที่ เดอะ สุโขทัย เราก็ไม่เคยได้ว่างเว้นของอร่อยเลยจริงๆ ยิ่งมื้อเช้าของที่นี่ต้องใช้คำว่า "ล้น" ไปด้วยของกินที่ทั้งเลิศรสและหลากหลาย มีครบทั้งคาวหวาน สัญชาติยุโรป ไทย จีน ญี่ปุ่นตอบทุกความต้องการ ปัญหาเดียวคือพื้นที่ในกระเพาะมีไม่พอจริงๆครับ อร่อยหมดทุกอย่าง แต่ที่เรา Surprised เป็นพิเศษคือข้าวมันไก่ครับ บอกเลยว่าต้องลอง ดีงามเกินเรื่องจริงๆ กลมกล่อม นุ่มนวล พร้อมน้ำจิ้มที่เด็ดดวงเหลือเกิน


จริงๆแล้ว The Sukhothai นั้นมีชื่อมายาวนานเรื่องอาหารการกินครับ ที่นี่เป็นโรงแรมแห่งแรกในประเทศไทยที่จัด Sunday Brunch Buffet ที่เรียกได้ว่า Top-Notch อย่างแท้จริง วัตถุดิบที่นำมาเสิร์ฟให้ลูกค้านั้น ล้วนเป็นท็อปเกรดทั้งสิ้น ช่วงที่เราไปนั้นมีโปรโมชั่นที่คุ้มค่ามากๆ ซื้อ Sunday Brunch 2 ท่าน ได้ห้องพักฟรีไปเลย แต่ละช่วงจะมีโปรที่ต่างกันไปนะครับ ต้องลองเช็คดูเรื่อยๆน้าาา


Buffet อีกรายการของ The Sukhothai ที่โด่งดังมากๆก็คือ Chocolate Buffet ที่รับผิดชอบโดยเชฟ Laurent Ganguillet เรียกย่อๆว่า "เชฟกัง" พนักงานคนแรกสุดของโรงแรม หมายเลขพนักงานของเชฟคือเบอร์ 1 เลยครับ และยังคงทำงานอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบัน ลองคิดดูว่าทางเจ้าของนั้นดูแ