AMANPURI จิตวิญญาณแห่งความลักชูรี่ ณ สถานที่แห่งความสงบสุข
“Welcome to Paradise!” ไม่ใช่คำพูดของพนักงานหรอกนะครับ แต่มาจากแขกต่างชาติที่บังเอิญเดินผ่านมาตอนที่เราเพิ่งมาถึงสวรรค์บนดินที่มีอายุกว่า 30 ปีแห่งนี้ แม้ว่าจะเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่คลื่นพลังพิเศษบางอย่างของ อมันปุรีก็ส่งเข้ามากระทบให้หัวใจเราพองโตได้แบบไม่พลาดเป้าเลยสักครั้ง คราวนี้เราจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ 2 คืน 3 วัน และตั้งใจว่าจะจัดสรรเวลาทำกิจกรรมในมุมต่างๆของรีสอร์ทให้มากที่สุด จะได้เก็บภาพมาฝากได้ครบ แต่แน่นอนว่าเราทำได้ “เกือบ”สำเร็จเลยนะครับ :D
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา ขออนุญาตแจ้งข่าวดีกันก่อนเลยว่า hoparound.co มีดีลลับร่วมกับ Amanpuri ในแคมเปญ Closer to Home ซึ่งพิเศษทั้งในเรื่องของเรทค่าห้องและสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกหลายรายการเลย คลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ
The Arrival
ที่สนามบินภูเก็ต หลังจากที่เราได้สัมภาระครบเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกมาพบกับพี่คนขับรถที่ชูป้าย AMANPURI รอเราอยู่ รถ BMW ที่มารับเรานั้นกว้างขวาง มีน้ำดื่ม ขนม และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แม้แต่สายชาร์จมือถือก็มีเตรียมให้เช่นกัน พี่คนขับรถแจ้งเราอย่างสุภาพว่าจะใช้เวลาประมาณ 40 นาทีในการเดินทางถึงโรงแรม แต่ความรู้สึกของเราเหมือนเร็วกว่านั้นมากเมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนส่วนตัวที่ไร้ป้ายชื่อรีสอร์ทใดๆ ไม้กั้นที่ป้อมยามยกขึ้นเปิดทางให้เราเข้าสู่ความร่มรื่นของแมกไม้ที่ขนาบสองข้างทาง บอกให้เรารู้ว่าเรากำลังเข้าสู่อีกเขตแดนหนึ่งที่ถูกสงวนรักษาไว้เป็นอย่างดี
เส้นทางที่ขึ้นๆลงๆแม้ไม่ได้ชันมาก แต่ก็ทำให้เรารับรู้ถึงสภาพภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา เพราะอมันปุรีตั้งอยู่บนเนินแหลมส่วนตัวทางทิศตะวันตกของเกาะภูเก็ต ศาลาเรือนไทยอยุธยาหลังคาสีเทาสะอาดตาเริ่มปรากฏให้เห็น และเมื่อรถจอดลงตรงจุดเทียบรถของล็อบบี้ เสียงฆ้องก็ดังกังวาลขึ้นพร้อมกับการยกมือไหว้อันพร้อมเพรียงกันของทีมต้อนรับที่มายืนเรียงหน้ากระดานรอการมาถึงของเรา เป็นการต้อนรับที่เปี่ยมไปด้วยความใส่ใจจนเรารู้สึกเหมือนได้กลับมายังบ้านอีกหลังของเรา แคมเปญ Closer to Home คงมีที่มาจากความรู้สึกนี้นี่เอง
ทันทีที่เราลงจากรถ พนักงาน (ซึ่งจำชื่อพวกเราได้!) ก็นำเอาพวงมาลัยดอกไม้สดสีขาวมาคล้องคอต้อนรับ พร้อมกับเสนอผ้าเย็นกลิ่นมะลิหอมสดชื่นให้เราได้เช็ดเหงื่อไคล ยิ่งเมื่อได้ดื่ม Welcome Drink เย็นๆก็ยิ่งทำให้เรากระชุ่มกระช่วยขึ้นมาทันที แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้กลับบ้านจริงๆเท่ากับบทสนทนาที่สุภาพและคุ้นเคยดุจมิตรที่รู้จักกันมานาน
เพื่อความผ่อนคลายสูงสุดของแขกที่เข้าพัก Amanpuri จะไม่ทำการเช็คอินกันที่ล็อบบี้ แต่พนักงานต้อนรับจะพาเราไปส่งถึงเรือนพัก เพื่อแนะนำการใช้อุปกรณ์ในทุกๆจุดและช่วยกรอกเอกสารเช็คอินกันในห้องของเราเลย
Overview
Amanpuri แปลว่า A Place Of Peace (สถานที่แห่งความสงบ) มีเนื้อที่กว่า 236 ไร่บนเนินแหลมส่วนตัวที่เต็มไปด้วยต้นมะพร้าวสูงชะลูดตัดกันกับสีฟ้าไล่เฉดของทะเลอันดามัน แหลมนี้อยู่ระหว่างหาดสุรินทร์และหาดบางเทา โดยจุดที่ Amanpuri ตั้งอยู่นั้นมีหาดพันทรีซึ่งมีลักษณะเป็นหาดปิดที่สวยมาก จึงกลายเป็นหาดส่วนตัวสำหรับแขกของ Amanpuri และ The Surin Phuket ที่อยู่ติดกันไปโดยปริยาย
จาก Landscape ที่เลอค่าอยู่แล้วนั้น เมื่อได้รับการดูแลงานสถาปัตยกรรมทั้งหมดโดยคุณ Ed Tuttle ปรมาจารย์ด้านสถาปัตย์ระดับโลกที่เพิ่งล่วงลับไปเมื่อปี 2020 จึงยิ่งทำให้ Amanpuri นั้นเป็นดั่งสรวงสวรรค์ที่มนุษย์สร้างขึ้นดีๆนี่เอง โดยตัวอาคารทั้งหมดในรีสอร์ทคุณ Tuttle ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรือนไทยทรงอยุธยาแต่นำมาปรับแต่งเส้นสายและสีสันให้เกลี้ยงเกลาและรองรับประโยชน์ใช้สอยที่ทันสมัยมากขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าเรือนไทยสไตล์อยุธยาจะทั้งโดดเด่นและกลมกล่อมไปกับบริบททะเลอันดามันและทิวมะพร้าวได้ราวกับถูกร่ายมนตร์
พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งเป็น 3 โซนหลักๆครับ โซนแรกเป็นโซนรีสอร์ท (68 ไร่) ที่ไม่ได้มาเป็นห้อง แต่มาเป็นเรือนพักทรงไทยอยุธยาแยกหลังกันทั้งหมด 40 หลัง ซึ่งที่นี่จะเรียกว่า Pavilion (พาวิลเลี่ยน) มีหลายขนาด หลายวิว หลายราคาเลือกกันได้ตามสะดวกเลยครับ สอบถามได้ที่แผนก Reservation โดยตรงนะครับ
โซนต่อมาเป็นโซน Holistic Wellness Center (17 ไร่) ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมด้วยทีมงานมืออาชีพในแต่ละด้าน พร้อมอุปกรณ์ที่ทันสมัยครบครัน มีหลายโปรแกรมให้เลือกเข้าร่วมตั้งแต่นวดผ่อนคลาย ลดน้ำหนัก โยคะ ฝึกสมาธิ ฟื้นฟูร่างกาย บำบัดด้วยน้ำ ไปจนถึงการเสริมสร้างความฟิตตามโจทย์ของแต่ละคน
และโซนสุดท้ายก็คือโซน Private Villas มีทั้งสิ้น 44 หลังซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ที่สุดกว่า 150 ไร่ เดาได้ไม่ยากว่าโซนนี้เป็นโซนที่ทั้ง Exclusive ที่สุดและ Exquisite ที่สุดของ Amanpuri แต่ละหลังนั้นมีเจ้าของที่ซื้อกรรมสิทธิ์ขาดไป แต่ยังคงให้ทางทีม Amanpuri บริหารจัดการและปล่อยเช่าให้อยู่ เดี๋ยวในโพสต์นี้เราจะพาไปเยี่ยมชม Villa บางหลังกันด้วย และถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจจะเช่าวิลล่าก็สอบถามทาง Reservation ได้เช่นกันครับ
Our Pavilion
ตัดกลับมาที่เรือนพักของเรากันดีกว่า คราวนี้เราพักในโซนรีสอร์ทครับ Pavilion ของเราหมายเลข 906 เป็น Garden Pavilion ขนาด 1 ห้องนอนที่ไม่มีสระส่วนตัว แต่มีศาลานั่งเล่นให้ 1 หลังใหญ่ และเอาเข้าจริงๆก็เห็นวิวทะเลอยู่บ้างนะครับ สวยหรูอยู่เพลินมาก และถ้าตารางของเราไม่แน่นไปด้วยโปรแกรมสำรวจซอกมุมต่างๆของรีสอร์ทแล้ว เราก็ไม่ติดเลยที่จะพักผ่อนยาวๆอยู่ในเรือนพักของเราตลอดวัน
พนักงานต้อนรับพาเราเดินไปตามเส้นทางที่ลัดเลาะบนเนินเขาใต้เงาต้นมะพร้าวพอให้ได้ออกกำลังเล็กน้อย ต้นไม้เขียวขจีนานาพันธ์ุถูกจัดวางให้บังสายตาเพื่อความเป็นส่วนตัวของ Pavilion แต่ละหลังได้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ด้านนอกของ Pavilion ทุกหลังนั้นมีเรือนนั่งเล่นแยกออกมาอีก 1 หลัง โดยยกหลังคาสูงรับลมธรรมชาติและมีพัดลมเพดานเผื่อไว้ให้ด้วย Pavilion ของเราก็เช่นกันครับ
ภายใน Pavilion นั้นแบ่งเป็น 2 โซนหลักๆ คือห้องนอนกับห้องน้ำ เราไปสำรวจกันทีละโซนนะครับ เปิดประตูปุ๊บก็เจอห้องนอนก่อนเลย ภายในตกแต่งด้วยไม้เนื้อแข็งโทนส้มอมแดง (ตระกูลไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้แดง) สลับกับผนังขาวและกระจกเงาซึ่งเป็นองค์ประกอบที่คุณ Ed Tuttle ชอบนำมาใช้เป็นอย่างมาก อารมณ์ภายในนั้นสงบขลังเหมือนบ้านผู้ดีเก่าที่ทั้งอบอุ่นและมีรสนิยม
ที่มุมห้องมีผลไม้สด และลูกชุบในตะกร้าเล็กๆ เป็น Welcome Snacks พร้อมกับโน้ตสั้นๆอธิบายว่าลูกชุบคืออะไรในภาษาอังกฤษสำหรับลูกค้าต่างชาติ รวม Welcome Message ที่เขียนด้วยลายมือและลงชื่อคุณ Gearoid Lyons ผู้จัดการรีสอร์ท
อีกมุมหนึ่งของห้องมี Surprise พิเศษสำหรับเราเป็น Sparkling Wine แบรนด์ Ferrari Trento ที่ผลิตให้ Aman โดยเฉพาะ ต้องบอกว่าสิ่งนี้เป็นของขวัญ Extra ที่ไม่ได้อยู่ในแพ็คเกจห้องปกติ ซึ่งแขกแต่ละคนในแต่ละครั้งที่เข้าพักก็อาจจะได้รับหรือไม่ได้รับ และสิ่งของก็อาจจะแตกต่างกันไป นับเป็นเสน่ห์เล็กๆที่ทาง Aman ตั้งใจสร้างความแตกต่างให้กับแขก แต่สิ่งที่เพื่อนๆชาว #hopster จะได้รับแน่นอนหากใช้โค้ด Hop Around จองห้องพักก็คือ Cocktail 2 แก้ว และเรทห้องพักที่พิเศษสุดครับ
ในตู้เย็นมินิบาร์ก็มีทั้งขนมขบเคี้ยว Soft Drinks รวมถึงชา (Dilmah) กาแฟ (ILLY) เราชอบ Exclusive Chocolate Bar ติดแบรนด์ Amanpuri เป็นพิเศษ เลยตั้งใจจะหยิบกลับมากินต่อที่บ้านมาเป็นที่ระลึกให้หายคิดถึงด้วย เพราะทั้งหมดทาง Housekeeping จะมาเติมให้ฟรีทุกวันเลย
แน่นอนว่าฟีเจอร์หลักของห้องนอนก็คือเตียงนอนนั่นเอง และเตียงที่ Amanpuri นั้นเราสามารถ Request ความนุ่มหรือความเฟิร์มได้ตามความพอใจ เพียงยกหูแจ้งพนักงานได้ง่ายๆเลยครับ
เห็นเป็นเรือนไทยดูขลังแบบนี้ แต่เทคโนโลยีภายในห้องมีการอัพเดทตลอดนะครับ เพราะทุกปีๆละ 2 เดือนรีสอร์ททั้งหมดจะปิดรับลูกค้าเพื่อซ่อมบำรุงปรับปรุงสถานที่ขนานใหญ่ เราประทับใจระบบไอแพดที่ใช้ในการควบคุมไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ ทีวี รวมไปถึงสามารถเข้าถึงเมนูอาหาร และข้อมูลกิจกรรมทั้งหมดของรีสอร์ทได้แบบสะดวกมากครับ ช่อง USB ก็มีให้หลายจุด รวมถึงที่ซ่อนอยู่อย่างแนบเนียนตรงฐานชาร์จโทรศัพท์ด้วย ส่วนทีวีนั้นจะถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนหลังประตูเลื่อนที่กั้นโซนห้องน้ำ และนี่ก็เป็นอีกความตั้งใจของแบรนด์ Aman ทั่วโลกที่อยากจะให้แขกได้ออกไปสัมผัสกับธรรมชาติด้านนอกกันมากกว่าดูทีวีอยู่ในห้อง
โซนห้องน้ำนั้นมีพื้นที่ใหญ่ไม่แพ้ห้องนอนเลย ประกอบไปด้วยพื้นที่แต่งตัวและอ่างล้างหน้าให้กับแขก 2 คนแยกกันคนละฝั่ง มี Centerpiece เป็นกระถางกล้วยไม้สวยงาม ทางรีสอร์ทเตรียมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไว้ให้ครบครัน ตั้งแต่เสื้อคลุมอาบน้ำ กระเป๋า Beach Bag หมวกแก๊ปปักโลโก้ Amanpuri (อันนี้เอากลับบ้านได้นะครับ) รวมไปถึงรองเท้า Slippers สำหรับใช้ภายในห้อง และรองเท้าแตะหูหนีบสำหรับเดินไปทะเล
ด้านในก็สุดของโซนจะเป็นห้องฝักบัวอาบน้ำ อ่างอาบน้ำ และห้องส้วมอัตโนมัติ ส่วน Amenities ทั้งหมดเป็นแบรนด์ Amanpuri ซึ่งบรรจุในภาชนะที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้เพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมครับ
Minimal Seasoning, Maximal Flavors At Nama
เมื่อเราสะกดคำว่า Aman แบบย้อนกลับก็จะได้คำว่า Nama ซึ่งแปลว่า ความเป็นธรรมชาติหรือความดิบสด (แหม ช่างลงตัวอะไรปานนั้น) Nama เป็นแบรนด์ห้องอาหารญี่ปุ่นซิกเนเจอร์ของเครือ Aman เราจึงสามารถพบกับร้าน Nama ได้ที่รีสอร์ท Aman หลายแห่งทั่วโลก สำหรับที่ Amanpuri นั้น Nama จะเปิดให้บริการเพียง 6 เดือนในแต่ละปีเท่านั้น (1 พ.ย.-31 เม.ย.) ซึ่งเราก็โชคดีมากที่ได้มาที่นี่ช่วงนี้พอดี และนี่ก็น่าจะเป็นประสบการณ์การรับประทานอาหารญี่ปุ่นริมทะเลอันดามันครั้งแรกของเราเลยครับ
อาหารของ Nama เน้นวัตถุดิบที่นำเข้าจากญี่ปุ่นโดยตรง โดยเชฟจะให้ความสำคัญกับความสด และการดึงเอารสธรรมชาติที่ดีงามของวัตถุดิบแต่ละอย่างออกมาให้ได้มากที่สุด แม้จะปรุงน้อย แต่ความพิถีพิถันนั้นเข้มข้นมาก เราแอบเห็นเชฟบรรจงล้างและเช็ดผักสลัดทีละใบ เพื่อนๆน่าจะจินตนาการถึงความใส่ใจได้ไม่ยากใช่ไหมครับ
ก่อนจะไปถึงอาหาร เราแว่บไปเห็นเมนูสาเกแบรนด์ Aman เลยลองสอบถามพนักงานดู ได้ความว่าเป็นสาเกที่ Aman สั่งผลิตพิเศษโดยแบรนด์เก่าแก่อย่าง Masumi Sake ที่เมืองนากาโนะ โดยจะมีรสชาติกลมกล่อมดื่มง่ายเข้ากับอาหารได้ทุกอย่าง เราจึงจัดมา 1 ขวด และก็ไม่ผิดหวัง หอมและดื่มลื่นคอดีมากครับ
สำหรับอาหารเราพยายามสั่งให้หลากหลายเพื่อเก็บภาพความอร่อยมาฝากกันครับ ตั้งแต่ สลัดปลาดิบ (Kaizen Salad) ซาชิมิรวม (Sashimi Moriawase) ซึ่งเชฟจะเป็นคนเลือกว่าในแต่ละวันปลาอะไรสดที่สุดก็จะจัดมากให้ครับ Amanpuri Roll ด้านในเป็นปลาโทโร่และแอมเบอร์แจ็คพร้อมกับไข่แซลมอน อาโวคาโด้และผักอื่นๆ เทมปุระรวม (Tempura Moriawase) ไปจนถึงเนื้อวากิวเกรดพรีเมี่ยม A5 ย่างถ่าน (Tokusen Wagyu) ก่อนจะตบท้ายด้วย Matcha Tiramisu แนะนำให้ค่อยๆตั้งใจทานทุกๆคำ เพื่อให้ต่อมรับรสได้สัมผัสกับความอร่อยสดจากธรรมชาติที่ผ่านการประคบประหงมมาอย่างดี
อิ่มท้องเรียบร้อยแล้ว เราพาเพื่อนๆเข้าไปชมโซน Private Villas ที่ Exclusive ที่สุดของ Amanpuri กันบ้างดีกว่า ต้องบอกว่าพิเศษจริงๆครับ เพราะโซนนี้ไม่ได้เปิดให้คนนอกเข้ามาได้ง่ายๆ และวันนี้เพื่อนๆจะได้ชมกันถึง 2 วิลล่า คือหมายเลข 23 และ 27 (จากทั้งหมด 44 วิลล่า) สำหรับความเลิศหรูของแต่ละวิลล่า เราขออนุญาตให้ภาพดำเนินเรื่องแทนนะครับ
ในภาพรวม แต่ละ Villa นั้นมีขนาดใหญ่ตั้งแต่ 3-9 ห้องนอน และเมื่อได้เข้ามาจริงๆแล้วต้องบอกว่าใหญ่กว่าที่เราจินตนาการไว้ค่อนข้างเยอะเลยครับ เพราะ 1 Villa = 1 Complex ส่วนตัวที่ประกอบไปด้วยอาคารย่อยๆอีกหลายหลัง ลดหลั่นกันลงมาตามแนวเชิงเขา 2-3 ระดับ พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่อาจจะมีทั้งสระว่ายน้ำ ลานอเนกประสงค์ ห้องรับประทานอาหาร หรือศาลาพักผ่อน ซึ่งแต่ละ Villa ก็มีความดีงามที่ไม่ซ้ำแบบกันเลย